การปักไม้บนชายหาดเพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง

การปักไม้ลงบนหาดทรายเพื่อแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งนั้น ได้ถูกใช้เป็นหนึ่งในมาตรการ Nature-based solution ในบางพื้นที่ โดยทั่วไปจะใช้ไม้สน ไม้เนื้อแข็ง หรืออาจเป็นไม้ไผ่ โดยการปักเป็นแนวหรือรั้วเพื่อชะลอการเคลื่อนที่ของทราย ลดแรงของคลื่นที่กระทบชายฝั่ง และช่วยสร้างสันทรายใหม่ ซึ่งมีผลในการป้องกันการกัดเซาะทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของวิธีนี้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

  1. ขนาดและความหนาแน่นของไม้ – การวางแผนให้แนวไม้มีระยะห่างและความหนาแน่นที่เหมาะสมสำคัญมาก เพื่อให้สามารถช่วยดักทรายและลดความรุนแรงของคลื่นได้
  2. ลักษณะคลื่นและกระแสน้ำ – หากคลื่นรุนแรงมาก อาจต้องใช้มาตรการเสริม เช่น การทำแนวรั้วไม้เป็นหลายชั้น หรือเสริมด้วยพืชพันธุ์อื่น ๆ เพื่อให้ช่วยดักจับทรายและลดแรงคลื่นได้ดียิ่งขึ้น
  3. รูปแบบของการปักไม้ – เช่น ซิกแซก ปักแถวเดียว หลายแถว สลับฟันปลา โดยแต่ละรูปแบบจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของมาตรการนี้แตกต่างกันไป
  4. การบำรุงรักษา – แนวไม้ที่ปักลงไปอาจถูกกัดเซาะหรือเสียหายได้ตามเวลาและสภาพอากาศ จึงควรมีการตรวจสอบและเสริมไม้ที่เสียหายให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการกัดเซาะอยู่เสมอ
  5. แนวการวางตัวของไม้- แนวการวางตัวของไม้กับทิศทางของคลื่น ส่งผลต่อประสิทธิภาพของมาตรการนี้และอาจส่งกระทบผลต่อพื้นที่ข้างเคียงด้วย
  6. การใช้ร่วมกับมาตรการอื่น – เช่น การใช้ก้อนหินหรือรั้วป้องกันคลื่น หรือการปลูกพืชคลุมดินบริเวณหลังแนวไม้ เพื่อช่วยลดการเคลื่อนที่ของทรายและเสริมความมั่นคงแข็งแรงของหาดทรายและเนินทราย
  7. ระยะปักไม้จากแนวระดับน้ำขึ้นสูงสุด – มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของมาตรการปักไม้เพื่อลดการกัดเซาะชายฝั่ง เนื่องจากระยะนี้กำหนดความสามารถในการลดแรงคลื่นและการสะสมตัวของทราย
  8. ปัจจัยอื่นๆ – อาทิ โครงสร้างข้างเคียงที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการปักไม้ การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ด้านใน เป็นต้น

การใช้ไม้ปักเพื่อบรรเทาปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง อาจเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลในบริเวณที่มีคลื่นไม่รุนแรงมาก แต่สำหรับพื้นที่ที่มีคลื่นแรงและการกัดเซาะที่รุนแรง ควรพิจารณาวิธีการอื่น ๆ หรือการออกแบบร่วมกับวิธีการป้องกันชายฝั่งแบบวิศวกรรม