วิศวกรชายฝั่งทะเล มีหน้าที่อะไร

วิศวกรชายฝั่งทะเล เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลและพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งให้มีความมั่นคง ปลอดภัย และยั่งยืน โดยนำความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมทางทะเลที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วิศวกรชายฝั่งทะเล มีหน้าที่หลักในการออกแบบ วางแผน และดูแลโครงสร้างและระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชายฝั่งทะเล เพื่อปกป้องชายฝั่งจากการกัดเซาะ พัฒนาพื้นที่ชายฝั่งให้มีความมั่นคงและยั่งยืน รวมถึงจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับงานวิศวกรรมชายฝั่งทะเล: หน้าที่ของวิศวกรชายฝั่งทะเล ครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจและวิเคราะห์สภาพชายฝั่งอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อชายฝั่ง เช่น กระแสน้ำ คลื่น ลม พายุ และการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การสำรวจด้วยเสียง การสำรวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศ และแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อสร้างข้อมูลที่แม่นยำและครบถ้วน จากข้อมูลที่ได้ วิศวกรชายฝั่งจะทำการออกแบบโครงสร้างที่เหมาะสมกับสภาพชายฝั่งนั้นๆ เพื่อป้องกันการกัดเซาะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตัวอย่างโครงสร้างที่วิศวกรชายฝั่งอาจออกแบบ เช่น กำแพงกันคลื่น (Seawall) ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชายฝั่งจากคลื่นแรง รอดักทราย (Groin) ที่ช่วยดักทรายและป้องกันการพังทลายของชายหาด หรือเขื่อนกันคลื่นใต้น้ำ (Submerged Breakwater) ที่ช่วยลดความแรงของคลื่นก่อนเข้าถึงชายฝั่ง นอกจากการออกแบบโครงสร้างป้องกันแล้ว วิศวกรชายฝั่งยังมีบทบาทในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การออกแบบท่าเรือน้ำลึกสำหรับการขนส่งสินค้า การสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลเพื่อการเกษตร หรือการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่ง โดยสรุปแล้วหน้าที่หลักของวิศวกรชายฝั่งทะเลมีดังต่อไปนี้: การทำงานของวิศวกรชายฝั่งทะเล ไม่ได้จบแค่การออกแบบและก่อสร้าง […]

Beachlover

July 27, 2024

ทำไมต้นมะพร้าวริมทะเล เอนออกทะเล

ต้นมะพร้าวริมทะเลที่เอนเอียงออกทะเลนั้น เป็นภาพที่เราคุ้นเคยและเป็นสัญลักษณ์ของชายฝั่งเขตร้อน แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมต้นมะพร้าวเหล่านี้ถึงไม่ยืนต้นตรงเหมือนต้นไม้ทั่วไป คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในปัจจัยทางธรรมชาติหลายประการ ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและรูปทรงของต้นมะพร้าว หนึ่งในปัจจัยหลักคือการกัดเซาะของดินชายฝั่ง คลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดินบริเวณชายหาดค่อยๆ สึกกร่อนไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่มีพายุหรือมรสุมรุนแรง อาจทำให้ดินถูกกัดเซาะไปเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลให้ต้นมะพร้าวที่อยู่ใกล้ชายฝั่งสูญเสียฐานรากที่มั่นคง และค่อยๆ เอนเอียงออกทางทะเล นอกจากนี้ ทิศทางของแสงแดดก็มีบทบาทสำคัญ ต้นมะพร้าวมีลักษณะพิเศษคือใบจะหันไปทางที่มีแสงแดดมากที่สุด เพื่อให้ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่สำหรับกระบวนการสังเคราะห์แสง เนื่องจากบริเวณชายทะเลเปิดโล่งและมีแสงแดดส่องถึงมากกว่าทางด้านในแผ่นดิน ต้นมะพร้าวจึงมักจะเอนเอียงออกทางทะเลเพื่อให้ใบได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ แรงลมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ลมทะเลที่พัดเข้าหาฝั่งอย่างสม่ำเสมอ จะสร้างแรงกดต่อต้นมะพร้าว ทำให้ต้นมะพร้าวค่อยๆ เอนเอียงตามทิศทางของลม ซึ่งก็คือออกทางทะเลนั่นเอง ยิ่งบริเวณใดมีลมทะเลแรงมากเท่าไหร่ ต้นมะพร้าวก็จะยิ่งเอนเอียงมากขึ้นเท่านั้น นอกจากปัจจัยหลักเหล่านี้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเอนเอียงของต้นมะพร้าว เช่น น้ำหนักของผลมะพร้าวที่ออกเป็นทะลาย หรือความเสียหายที่เกิดจากแมลงศัตรูพืชและโรคต่างๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ปัจจัยหลักที่กล่าวมาข้างต้น คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นมะพร้าวริมทะเลเอนเอียงออกทะเล แม้ว่าต้นมะพร้าวจะเอนเอียง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้นมะพร้าวจะอ่อนแอหรือไม่แข็งแรง ตรงกันข้าม ต้นมะพร้าวเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ดี และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปได้ การเอนเอียงของต้นมะพร้าวจึงเป็นเพียงการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด และเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์ที่ทำให้ชายหาดเขตร้อนมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Beachlover

July 24, 2024

ทำไม สีของน้ำทะเลจึงแตกต่างกัน

สีสันของท้องทะเลที่เราเห็นนั้นไม่ได้มีเพียงแค่สีฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีความหลากหลายราวกับจานสีของศิลปิน ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้น้ำทะเลอันกว้างใหญ่ เริ่มจากปัจจัยแรกคือ แสง แสงแดดที่ส่องลงมาบนผิวน้ำทะเลประกอบด้วยแสงสีต่างๆ เมื่อแสงกระทบกับน้ำทะเล โมเลกุลของน้ำจะดูดกลืนแสงสีแดง ส้ม และเหลืองไว้ ทำให้แสงสีฟ้าและสีม่วงสามารถทะลุผ่านลงไปในน้ำได้ลึกกว่า และถูกกระเจิงกลับขึ้นมาสู่สายตาของเรา นี่คือเหตุผลที่ทำให้น้ำทะเลส่วนใหญ่มักมีสีฟ้า อย่างไรก็ตาม สีของน้ำทะเลไม่ได้มีแค่สีฟ้าเพียงอย่างเดียว สิ่งมีชีวิตในทะเล ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสีสันอันหลากหลาย เช่น แพลงก์ตอนพืช ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีคลอโรฟิลล์ จะดูดกลืนแสงสีฟ้าและสีแดงเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้ทะเลบริเวณที่มีแพลงก์ตอนพืชหนาแน่นมีสีเขียวอมฟ้า ส่วนสาหร่ายทะเลสีแดง ก็สามารถดูดกลืนแสงสีอื่นๆ ยกเว้นสีแดง ทำให้สะท้อนแสงสีแดงออกมา และทำให้ทะเลบริเวณนั้นมีสีแดง นอกจากนี้ สิ่งแขวนลอยในน้ำ ก็ส่งผลต่อสีของน้ำทะเลด้วย เช่น ตะกอนดิน ทราย หรือแม้แต่เศษซากสิ่งมีชีวิต จะทำให้น้ำทะเลมีสีขุ่นหรือสีน้ำตาล ยิ่งมีตะกอนมากเท่าไหร่ น้ำทะเลก็ยิ่งขุ่นมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากน้ำทะเลมีความใสสะอาดและไม่มีสิ่งเจือปนมากนัก แสงก็จะสามารถส่องผ่านลงไปได้ลึก ทำให้เรามองเห็นน้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม ความลึกของน้ำ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อสีของน้ำทะเล ในบริเวณน้ำตื้น แสงแดดสามารถส่องลงไปถึงพื้นทะเลและสะท้อนกลับขึ้นมา ทำให้เรามองเห็นสีของพื้นทะเล เช่น สีขาวของทรายหรือสีเขียวของปะการัง แต่เมื่อน้ำลึกลงไป แสงแดดจะถูกดูดกลืนไปมากขึ้น ทำให้เรามองเห็นน้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม และสุดท้าย สภาพอากาศ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสีของน้ำทะเลด้วยเช่นกัน ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดจะส่องลงมาในน้ำทะเลได้มาก ทำให้สีของน้ำทะเลสดใส แต่ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม แสงแดดจะส่องลงมาในน้ำทะเลได้น้อยลง ทำให้สีของน้ำทะเลดูหม่นหมอง จะเห็นได้ว่า สีของน้ำทะเลที่เราเห็นนั้นเป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน […]

Beachlover

July 22, 2024

รูปตัดชายหาด มีความสำคัญอย่างไร

รูปตัดชายหาด (Beach Profile) คือ ภาพตัดขวางของชายหาดที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะภูมิประเทศของชายหาด ตั้งแต่บริเวณหลังหาด (backshore) ไปจนถึงเขตน้ำขึ้นน้ำลง (foreshore) และในบางกรณีอาจหมายรวมไปถึงเขตไหล่ทวีป (offshore) รูปตัดชายหาด (Beach Profile) เปรียบเสมือน “ลายนิ้วมือ” ของชายหาดแต่ละแห่ง ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะตัวของหาดนั้นๆ ตั้งแต่เนินทรายด้านหลังหาดที่อาจมีพืชพรรณปกคลุม ไปจนถึงพื้นทรายที่เปียกชื้นในเขตน้ำขึ้นน้ำลง และลึกลงไปในทะเลจนถึงบริเวณไหล่ทวีป รูปตัดชายหาดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจและจัดการชายฝั่งอย่างยั่งยืน 1. บันทึกการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง: รูปตัดชายหาดเปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่บันทึกการเปลี่ยนแปลงของหาดทรายในแต่ละช่วงเวลา เช่น ชายหาดหัวหินที่เคยกว้างขวาง อาจถูกกัดเซาะจนแคบลง หรือหาดในจังหวัดกระบี่ที่อาจมีตะกอนทับถมจนชายหาดขยายกว้างขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงสาเหตุและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง เพื่อวางแผนป้องกันและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที 2. ออกแบบเกราะป้องกันชายฝั่ง: รูปตัดชายหาดเป็นเสมือนพิมพ์เขียวที่วิศวกรใช้ในการออกแบบโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง เช่น หากหาดทรายมีความลาดชันสูง อาจต้องใช้โครงสร้างที่แตกต่างไปจากหาดที่มีความลาดชันต่ำ การออกแบบที่เหมาะสมกับลักษณะของหาดจะช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า 3. ดูแลระบบนิเวศชายฝั่ง: รูปตัดชายหาดช่วยให้เราเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมของชายหาด เช่น หากหาดทรายมีความลาดชันน้อย อาจเป็นแหล่งอาศัยของหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่หลบภัยของสัตว์น้ำ หรือหากมีแนวปะการังอยู่ใกล้ชายฝั่ง รูปตัดชายหาดจะช่วยให้เราประเมินผลกระทบของคลื่นและตะกอนที่มีต่อแนวปะการังได้ 4. เตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: รูปตัดชายหาดช่วยให้เราประเมินความเสี่ยงและวางแผนรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ชายหาดที่มีเนินทรายสูงอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าหาดที่มีความลาดชันต่ำ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถเลือกใช้มาตรการรับมือที่เหมาะสม เช่น การเสริมเนินทราย การเติมทรายชายหาด หรือการย้ายถิ่นฐานชุมชน 5. […]

Beachlover

July 20, 2024

น้ำทะเลเค็มเหมือนกันหรือไม่

ความเค็มของน้ำทะเลไม่ได้คงที่ แต่มีความผันผวนและแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้ 1. สมดุลระหว่างการระเหยและการเติมน้ำจืด: 2. การไหลเวียนของกระแสน้ำ: 3. ลักษณะทางภูมิศาสตร์: 4. กิจกรรมของมนุษย์: ความแตกต่างของความเค็มในน้ำทะเลไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การประมง การเดินเรือ และการท่องเที่ยว ความเค็มของน้ำทะเลยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสัตว์และพืชทะเล หากมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลได้

Beachlover

July 18, 2024

SBEACH (Storm-Induced BEAch CHange)

SBEACH (Storm-Induced BEAch CHange) เป็นแบบจำลองเชิงตัวเลข 1 มิติที่พัฒนาขึ้นโดย U.S. Army Corps of Engineers (USACE) เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงรูปร่างชายหาดที่เกิดจากพายุ โดยเฉพาะการกัดเซาะและการทับถมของทรายในช่วงที่มีพายุ SBEACH ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ชายฝั่งในการประเมินผลกระทบของพายุต่อแนวชายฝั่ง ทำให้สามารถวางแผนและออกแบบมาตรการป้องกันชายฝั่งได้อย่างเหมาะสม เช่น การสร้างเขื่อนกันคลื่น หรือการเติมทรายเพื่อป้องกันการกัดเซาะ SBEACH (Storm-induced BEAch CHange) เป็นแบบจำลองเชิงตัวเลข ที่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของลักษณะภูมิประเทศ เช่น สันทรายและเนินทราย พัฒนาโดย Larson และ Kraus ในปี 1989 SBEACH ใช้แนวคิดสมดุลของรูปร่างชายหาด (Equilibrium Beach Profile) เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงของสัณฐานวิทยาของชายหาดอันเนื่องมาจากคลื่นพายุและระดับน้ำ แบบจำลองนี้ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้ข้อมูลภาคสนามและการทดลองในห้องปฏิบัติการจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจำลองลักษณะภูมิประเทศขนาดใหญ่ของชายหาด รวมถึงสันทรายตามแนวยาวและการกัดเซาะของเนินทราย ข้อมูลป้อนเข้าหลักของ SBEACH ได้แก่ ความกว้างของเนินทราย เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยของเม็ดทราย ความลาดเอียงของชายหาด ระดับน้ำออกแบบ และสภาพคลื่น ในขณะที่ผลลัพธ์จะให้รายละเอียดพารามิเตอร์เกี่ยวกับการกัดเซาะของเนินทรายและการก่อตัวของสันทราย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคลื่นพายุที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดสันทรายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถลดพลังงานคลื่นและจำกัดการกัดเซาะของเนินทรายในภายหลัง ประสิทธิภาพของแบบจำลองในการทำนายการเปลี่ยนแปลงของชายหาดที่เกิดจากพายุได้รับการยืนยันจากการสังเกตภาคสนามและการจำลองเชิงตัวเลขต่างๆ […]

Beachlover

July 16, 2024

แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเล

แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น คลื่น กระแสน้ำ และการกระทำของมนุษย์ ซึ่งมีความหลากหลายและสามารถแบ่งประเภทตามวิธีการศึกษาและวัตถุประสงค์ได้ดังนี้ การเลือกใช้แบบจำลองขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษา ข้อมูลที่มีอยู่ และทรัพยากรที่สามารถจัดสรรได้ การทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละแบบจำลอง จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้แบบจำลองได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่การจัดการชายฝั่งที่ยั่งยืน

Beachlover

July 16, 2024

รอยคลื่นบนชายหาด เกิดจากอะไร?

รอยคลื่นบนชายหาดและเนินทรายนั้นเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติอันทรงพลัง ซึ่งมีทั้งลมและกระแสน้ำเป็นกลไกหลักในการก่อกำเนิด เมื่อคลื่นเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่ง การไหลเวียนของน้ำทะเลจะพัดพาเม็ดทรายให้เคลื่อนที่ไปด้วย เมื่อน้ำลดลง จะเกิดร่องเล็กๆ บนพื้นทราย คลื่นลูกถัดมาจะดันทรายกลับขึ้นไปจนเกิดสันทรายขนาดเล็ก วัฏจักรของการทับถมและการกัดเซาะนี้จะก่อให้เกิดรอยคลื่นที่มีลักษณะสมมาตร เรียงตัวขนานไปกับแนวชายฝั่ง อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของคลื่นที่สม่ำเสมอ ในกรณีที่กระแสน้ำมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น กระแสน้ำที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง หรือกระแสน้ำที่ไหลขนานไปกับชายฝั่ง จะส่งผลให้เกิดแรงกระทำต่อเม็ดทรายรุนแรงยิ่งขึ้น เม็ดทรายจะถูกพัดพาไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดรอยคลื่นแบบไม่สมมาตร โดยมีความลาดเอียงชันไปทางทิศทางของกระแสน้ำ ร่องรอยเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงพลังอันซ่อนเร้นของกระแสน้ำที่ค่อยๆ กัดกร่อนพื้นผิวชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง บนชายหาดและเนินทรายที่แห้ง ลมจะทำหน้าที่เป็นผู้สลักเสลาธรรมชาติ เมื่อลมพัดผ่านพื้นผิวทราย มันจะพัดพาเม็ดทรายไปด้วย เมื่อลมปะทะสิ่งกีดขวาง เช่น ก้อนหิน หรือกลุ่มพืช จะทำให้ความเร็วลมลดลง และเกิดการทับถมของทรายเป็นเนินขนาดเล็ก จากนั้นลมจะพัดพาเม็ดทรายจากด้านหนึ่งของเนินไปทับถมอีกด้านหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยคลื่นแบบไม่สมมาตร โดยมีความลาดเอียงชันไปทางทิศทางของลม คล้ายกับเนินทรายขนาดเล็ก ขนาดและระยะห่างของรอยคลื่นจะแตกต่างกันไปตามความเร็วและทิศทางของลมหรือกระแสน้ำ รวมถึงขนาดของเม็ดทราย ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดรูปแบบของรอยคลื่นที่หลากหลาย ตั้งแต่รอยคลื่นขนาดเล็กที่มีระยะห่างใกล้กัน ไปจนถึงรอยคลื่นขนาดใหญ่ที่มีระยะห่างมาก แต่ละรูปแบบล้วนสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดรอยคลื่น ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงพลวัตของธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบริเวณชายฝั่ง

Beachlover

July 14, 2024

Managed realignment กลยุทธ์เพื่อการบริหารจัดการชายฝั่ง

Managed realignment-MR (หรือเรียกอีกอย่างว่า managed retreat) เป็นวิธีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนแนวป้องกันชายฝั่งเดิมให้ถอยร่นเข้ามาในแผ่นดิน เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งเดิมกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลน หรือหาดเลน Managed Realignment คือกลยุทธ์เพื่อการบริหารจัดการชายฝั่งแบบหนึ่ง เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลงได้ปรับตัวได้ตามธรรมชาติตามธรรมชาติ โดยไม่มีการแทรกแซงหรือรบกวนจากภายนอก แนวทางนี้ได้รับความสนใจในยุโรปและอเมริกาเหนือในฐานะวิธีแก้ปัญหาตามธรรมชาติสำหรับการกัดเซาะชายฝั่ง การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย และการจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัย หลักการสำคัญของ Managed Realignment: มีการเริ่มใช้ Managed Realignment ครั้งแรกในปี 1990 ที่เกาะ Northey ใน Essex และต่อมามีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีพื้นที่ที่ดำเนินการ Managed Realignment มากที่สุดในยุโรป จุดประสงค์ของ Managed Realignment คือการให้ประโยชน์หลายประการ ซึ่งรวมถึงการป้องกันน้ำท่วม การสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย และการกักเก็บคาร์บอน ตัวอย่างเช่น Steart Marshes ในสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นถึงอัตราการสะสมคาร์บอนที่สำคัญ โดยการสะสมของตะกอนมีส่วนทำให้เกิดการกักเก็บคาร์บอนในระดับสูง Managed Realignment มักประสบปัญหาความท้าทาย เช่น การต่อต้านจากชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสียที่ดินที่มีค่า […]

Beachlover

July 12, 2024

โครงการสร้างเกาะเทียม อาจส่งผลอะไรบ้าง

โครงการถมทะเลเพื่อสร้างเกาะเทียม เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่พบได้ทั่วโลก โดยมีวัตถุประสงค์หลากหลาย เช่น เพื่อการอยู่อาศัย การท่องเที่ยว หรือเพื่อสร้างพื้นที่อุตสาหกรรม การก่อสร้างเกาะเทียมเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่มีโครงการสำคัญในหลากหลายภูมิภาค ซึ่งแต่ละโครงการมีผลกระทบที่แตกต่างกันต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมือง ในทะเลจีนใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้พัฒนาเกาะเทียมอย่างรวดเร็ว เพิ่มการควบคุมทางการเมืองเหนือภูมิภาค ในขณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก รวมถึงการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและระบบนิเวศ ในทำนองเดียวกัน ในช่องแคบ Qiongzhou การก่อสร้างเกาะเทียม Ruyi ได้เปลี่ยนแปลงสนามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง และก่อให้เกิดการกัดเซาะและการทับถมของตะกอน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผืนน้ำโดยรอบ ในอ่าวเปอร์เซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นผู้บุกเบิกในการสร้างเกาะเทียม ด้วยโครงการต่างๆ เช่น Palm Jumeirah ในดูไบ ซึ่งได้ทำลายสิ่งมีชีวิตทางทะเล เพิ่มความขุ่นของน้ำ และรบกวนการเคลื่อนที่ของตะกอนตามธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบ แล้วก็ตาม ในทะเลเหลืองตอนใต้ การก่อสร้างเกาะเทียม Xitaiyang Sand Shoal ได้รับการศึกษาถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางอุทกพลศาสตร์และตะกอน ซึ่งเผยให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันการกัดเซาะที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาเสถียรภาพของพื้นที่ นอกจากนี้ ใน Tang Shan Bay การก่อสร้างเกาะเทียมได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางอุทกพลศาสตร์และเปลี่ยนแปลงลักษณะของการกัดเซาะ-ทับถม โดยรวมแล้ว ในขณะที่เกาะเทียมเสนอผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์และเศรษฐกิจ เช่น ความมั่นคงด้านพลังงานของจีนในทะเลจีนใต้ แต่ก็ก่อให้เกิดความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ซึ่งต้องมีการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดและกลยุทธ์การบรรเทาผลกระทบที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบนิเวศทางทะเลและพลวัตของชายฝั่ง […]

Beachlover

July 10, 2024
1 2 9