โปสการ์ดเก่า วิทยาศาสตร์ใหม่: ภาพถ่ายในอดีตบันทึกการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งตลอด 92 ปี

การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ภาพถ่ายเก่า ๆ อย่างโปสการ์ดจากนักท่องเที่ยวในอดีต ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของสะสมหรือของที่ระลึก แต่สามารถกลายเป็นข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มีคุณค่าสำหรับการติดตามการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งในระยะยาวได้อย่างน่าทึ่ง ตลอดช่วงเวลา 92 ปี ภาพเหล่านี้ช่วยให้นักวิจัยสามารถย้อนดูประวัติศาสตร์ของชายหาด เปรียบเทียบแนวชายฝั่ง และประเมินผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์และธรรมชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม Beach Lover ชวนอ่านบางส่วนของบทความวิชาการที่แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ตามอ่านฉบับเต็มได้จาก Link ในยุคที่มีภาพถ่ายจากดาวเทียมความละเอียดสูง การสำรวจด้วยโดรน และเทคนิคการรับรู้ระยะไกลต่าง ๆ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งตามช่วงเวลาไม่เคยง่ายเท่านี้มาก่อน แต่หากเราต้องการใช้ภาพชายฝั่งจากช่วงเวลาที่ย้อนหลังไปก่อนยุคของดาวเทียมหรือการสำรวจทางอากาศล่ะ เราจะทำอย่างไร? การศึกษานวัตกรรมโดยมหาวิทยาลัยลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ร่วมกับ USGS (สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ) พบว่า ภาพถ่ายเก่าและโปสการ์ดในอดีตสามารถให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาได้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลิสบอนได้ศึกษาชายหาด Conceição-Duquesa ในเมืองกัสไกช์ ประเทศโปรตุเกส โดยใช้ภาพถ่ายแนวเฉียงที่ถ่ายจากพื้นดิน เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งในช่วงเวลา 92 ปี ถือเป็นวิธีการใหม่ในการเข้าใจพลวัตระยะยาวของชายฝั่งโดยอาศัยภาพถ่ายจากพื้นดิน แปลงภาพให้กลายเป็นข้อมูลชายฝั่ง แม้ภาพถ่ายทางอากาศแนวดิ่งจะถูกใช้ในการติดตามสภาพชายฝั่งมาตั้งแต่ทศวรรษ 1940 และปัจจุบันข้อมูลจากดาวเทียมได้ปฏิวัติการศึกษาชายฝั่งไปทั่วโลกแล้ว แต่ข้อมูลจากช่วงเวลาก่อนหน้านั้นกลับหาได้ยาก และนี่เองที่ภาพถ่ายจากพื้นดินในอดีต เช่น ภาพถ่ายวันหยุด ภาพข่าว หรือโปสการ์ดเก่า ๆ กลายมาเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ ในการศึกษานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ประยุกต์วิธีการวิเคราะห์ภาพถ่ายรูปแบบใหม่กับโปสการ์ดของชายหาด Conceição-Duquesa […]

Beachlover

May 13, 2025

Green–Gray Infrastructure : ตอนที่ 2 กุญแจสำคัญ

ตามอ่านตอนที่ 1 ได้จาก https://beachlover.net/greengray-infrastructure-1/ “กุญแจสำคัญ” ในการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ คือ การเข้าใจ ประเมิน และนำแนวคิด “ความหลากหลายของหน้าที่” (multifunctionality) ของโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่งมาใช้ กล่าวคือ โครงสร้างหนึ่ง ๆ ควรให้ประโยชน์หลายด้าน นอกเหนือจากแค่การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่งให้มีความยืดหยุ่นและหลากหลายฟังก์ชัน โดยการผสมผสานระหว่างโครงสร้างแบบสีเขียว (green infrastructure) และแบบสีเทา (gray infrastructure) จะเปิดโอกาสให้สามารถบูรณาการฟังก์ชันของการบรรเทาและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมได้ การเพิ่มความหลากหลายของฟังก์ชันในโครงสร้างจะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนทางการเงิน ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานแบบเดิมมักมุ่งเน้นการควบคุมภูมิทัศน์โดยรอบ แต่โครงสร้างพื้นฐานในอนาคตที่มีความยืดหยุ่นควรทำงานไปกับพลวัตของธรรมชาติเพื่อรับมือกับแรงกระแทกและฟื้นตัวจากความเสียหาย หากได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม โครงสร้างพื้นฐานแบบผสมสีเขียว–สีเทานี้จะสามารถสร้างประโยชน์หลากหลาย ได้แก่ การดูดซับคาร์บอน ความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร การสร้างรายได้ การกรองน้ำ และสุขภาวะของมนุษย์และควรมีความยืดหยุ่นในการออกแบบ ก่อสร้าง และดูแลรักษา แม้แนวคิดนี้จะเริ่มถูกนำมาใช้ในบางพื้นที่ แต่ในบริบทของชายฝั่ง ยังถือว่า “เพิ่งเริ่มต้น” เท่านั้น นอกจากนี้ การวัดผลว่าโครงสร้างเหล่านี้มีประโยชน์หลากหลายแค่ไหน และคุ้มค่าแค่ไหน เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเล ซึ่งต้องใช้ประโยชน์บนชายฝั่งและในทะเลอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านการป้องกันภัย การผลิตอาหาร และการพักผ่อนท่องเที่ยว เมื่อโลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสสร้างสิ่งใหม่ เราจึงควรถามตนเองว่า… “ในอนาคต…เราต้องการให้โครงสร้างชายฝั่งของเรา […]

Beachlover

May 9, 2025

ภาพรวมการกัดเซาะชายหาดทรายทั่วโลก

บทความภาษาไทยนี้แปลมาจากบางส่วนของบทความวิจัยเต็มของ TUDelft ในปี 2018 ซึ่ง Beach Lover เห็นว่าเป็นผลงานที่น่าสนใจ ที่กล่าวถึงภาพรวมของสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลทั่วโลก ผู้สนใจสามารถติดตามอ่านฉบับเต็มได้จาก Luijendijk, A., Hagenaars, G., Ranasinghe, R., Baart, F., Donchyts, G., & Aarninkhof, S. (2018). The State of the World’s Beaches. Scientific Reports, 8(1), [6641 ]. https://doi.org/10.1038/s41598-018-24630-6 ************* ปรากฏการณ์การกัดเซาะชายหาดทรายเริ่มเป็นที่สังเกตอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 หลังจากการศึกษาของกลุ่มนักวิจัยจาก International Geographical Union (ระหว่างปี 1972–1976) และคณะกรรมาธิการว่าด้วยสิ่งแวดล้อมชายฝั่ง (1976–1984) ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประมาณ 200 คนจาก 127 ประเทศทั่วโลก ผลการสำรวจในครั้งนั้นระบุว่า ประมาณ 70% ของชายหาดทรายทั่วโลกกำลังถูกกัดเซาะ, […]

Beachlover

May 6, 2025

Green–Gray Infrastructure : ตอนที่ 1 ความจำเป็น

ชายฝั่งที่อุดมสมบูรณ์ได้หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์มาเป็นหมื่นๆ ปี ตลอดช่วงเวลานั้น มนุษย์มีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยให้เปลี่ยนผ่านจากการดำรงชีวิตแบบล่าสัตว์และเก็บของป่า ไปสู่การตั้งถิ่นฐานในรูปแบบชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็ก และในที่สุดก็กลายเป็นสังคมรัฐที่ซับซ้อน พื้นที่ชายฝั่งอย่างปากแม่น้ำ อ่าว และทะเลสาบ เป็นท่าเรือธรรมชาติมาแต่เดิม เมื่อชุมชนชายฝั่งเติบโตขึ้น พื้นที่เหล่านี้ก็ถูกปรับเปลี่ยนตามไปด้วย ผู้คนพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร สร้างโครงข่ายคมนาคม และจัดการสภาพแวดล้อมชายฝั่งให้เหมาะกับการดำรงชีพและขยายตัวของเศรษฐกิจ เมื่อความมั่งคั่งของประเทศต่างๆเพิ่มขึ้น เมืองและชุมชนจึงขยายตัวครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งมากขึ้น แต่การขยายตัวของเมืองที่หนาแน่นก็ทำให้ระบบนิเวศตามธรรมชาติของชายฝั่งรับภาระเกินขีดจำกัด ทั้งด้านการดูดซับมลพิษและการรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในโลกยุคปัจจุบันที่มีประชากรเกือบ 8 พันล้านคน และกว่าครึ่งอาศัยอยู่ห่างจากทะเลไม่เกิน 200 กิโลเมตร พื้นที่ที่สามารถใช้สำหรับการอยู่อาศัยและการดำเนินไปของธรรมชาติก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ พื้นที่ธรรมชาติถูกลดทอนและรบกวนด้วยสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เมื่อระบบธรรมชาติไม่สามารถรองรับผู้คนได้อีกต่อไป ประชากรจำนวนมากจึงย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองที่เติบโตอย่างไร้ระเบียบ เป็นชุมชนแออัดที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ ทั้งทางกายภาพและการบริการของรัฐ หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว กำลังทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เก่าแก่ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาก็เร่งลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ประชากร และอุตสาหกรรม แต่คำถามสำคัญคือ การพัฒนาเหล่านี้จะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวางแผน การดำเนินงาน และการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม หากลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ยั่งยืน อาจกลายเป็นภาระของคนรุ่นหลัง ทั้งในรูปแบบของหนี้สิน ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้น และการเสียโอกาสในการปรับตัวด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้ในอนาคต ขณะที่สังคมเริ่มตระหนักถึงความท้าทายจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เราก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ใหญ่อีกประการหนึ่ง นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งกำลังเผชิญกับความเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จาก สภาพอากาศรุนแรง ที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นและหนักขึ้นเพราะโลกร้อน เช่น พายุขนาดใหญ่หรือฝนตกหนักผิดปกติ ในอนาคตอันใกล้ปัญหา ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น จะกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของชุมชนชายฝั่ง เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงทั้งจากน้ำท่วมและน้ำเค็มที่ซึมเข้าแหล่งน้ำใต้ดิน […]

Beachlover

May 2, 2025

กลไกใดทำให้ชายหาดกัดเซาะระยะสั้นจากพายุ

การกัดเซาะชายหาด เกิดขึ้นเมื่อคลื่นและกระแสน้ำพัดพาทรายออกจากระบบชายหาด ซึ่งการสูญเสียทรายนี้จะทำให้ชายหาดแคบลงและระดับความสูงลดต่ำลง โดยในช่วงที่เกิดพายุ คลื่นลมแรงจะพัดพาทรายออกนอกฝั่ง และสะสมตัวอยู่ในรูปของสันดอนทรายขนาดใหญ่ใต้ทะเล แต่เมื่อพายุสงบลงในช่วงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังจากนั้น คลื่นที่สงบจะค่อย ๆ พาทรายกลับคืนมายังชายหาดอีกครั้ง ชายหาดสามารถเกิดการกัดเซาะอย่างฉับพลันในระยะสั้นเมื่อเกิดพายุ เนื่องจากกลไกหลักดังต่อไปนี้: การกัดเซาะเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่พายุพัดผ่าน แต่ในบางกรณี ทรายและตะกอนที่ถูกพัดพาออกไปอาจกลับมาสะสมที่ชายหาดอีกครั้งเมื่อสภาพอากาศสงบลง อย่างไรก็ตาม หากพายุเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือมีความรุนแรงมาก การฟื้นตัวของชายหาดอาจใช้เวลานานหรือไม่สมบูรณ์​

Beachlover

April 30, 2025

Hybrid solution แนวทางผสมผสานเพื่อป้องกันชายฝั่ง

การกัดเซาะชายฝั่งทะเลเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของชุมชนชายฝั่งในหลายพื้นที่ของประเทศไทย แนวทางดั้งเดิม เช่น กำแพงกันคลื่นและเขื่อนกันคลื่น มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัย และการรบกวนพลวัตของตะกอนตามธรรมชาติ แนวทางการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนคือการใช้ “Hybrid Solution” หรือ “แนวทางผสมผสาน” ซึ่งรวมข้อดีของวิศวกรรมโครงสร้างทางวิศวกรรม เข้ากับโครงสร้างที่เลียนแบบธรรมชาติ (nature-based solutions หรือ NbS) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชายฝั่งและฟื้นฟูระบบนิเวศ แนวทาง Hybrid Solution: การผสมผสานเพื่อการป้องกันชายฝั่งที่ยั่งยืน 1. โครงสร้างเลียนแบบธรรมชาติ (Nature-Based Solutions – NbS) NbS มุ่งเน้นการใช้หรือฟื้นฟูองค์ประกอบธรรมชาติ เช่น การปลูกป่าชายเลน การสร้างแนวสันทราย หรือการใช้แนวไม้ไผ่เพื่อชะลอคลื่น แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดแรงคลื่นและการกัดเซาะ แต่ยังส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศชายฝั่ง 2. โครงสร้างทางวิศวกรรม (Grey Infrastructure) โครงสร้างทางวิศวกรรม เช่น เขื่อนกันคลื่น (seawalls), แนวหินป้องกัน (revetments), และแนวหินใต้น้ำ (submerged breakwaters) มักถูกใช้เพื่อป้องกันการกัดเซาะโดยตรง อย่างไรก็ตาม การใช้โครงสร้างเหล่านี้เพียงอย่างเดียวอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่งและการเคลื่อนที่ของตะกอนทราย​ 3. […]

Beachlover

April 28, 2025

สาเหตุหลักที่ทำให้แมงกะพรุนตายเกลื่อนหาด

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 68 เกิดปรากฏการณ์ ฝูงแมงกะพรุนไม่ทราบชนิดที่แน่ชัดหลากหลายสี จำนวนมหาศาลนับหมื่นตัว เกยพลีชีพติดชายหาด EOD ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่กองการบินทหารเรือ กองเรือยุทธการ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่พบเห็นอย่างมาก สำหรับปรากฏการณ์แมงกะพรุนจำนวนมหาศาล เกยติดชายหาด สันนิษฐานว่าเป็นฝูงเดียวกับที่ลอยมาจากกลางทะเล ก่อนจะพากันมาเกยติดเนินทรายชายหาด ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 23 เมษายน ส่วนใหญ่ฝังตัวอยู่ในผืนทราย โดยจุดที่มีการเกาะกลุ่มขนาดใหญ่ที่สุด เป็นช่วงเนินทรายที่มีระดับสูงกว่าพื้นปกติทั่วไป บางส่วนกระจายตัวอยู่ตามพื้นทรายในรัศมี 30 เมตร จากข่าวที่ว่ามา Beach Lover ขอพาวิเคราะห์สาเหตุหลักที่อาจทำให้แมงกระพรุนตายเกลื่อนหาดดังต่อไปนี้ ข้อควรระวังสำหรับประชาชน

Beachlover

April 25, 2025

ตะกอนจากแม่น้ำลงทะเล ส่งผลต่อสมดุลชายหาดหรือไม่?

ปริมาณตะกอนที่แม่น้ำพัดพาลงสู่ทะเลมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของชายฝั่ง การสร้างโครงสร้างในลำน้ำ เช่น เขื่อน, ฝาย, อาคารบังคับน้ำ, กำแพงกันตลิ่ง, และโครงสร้างบนลำน้ำอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อ sediment balance ได้ในหลายรูปแบบ เช่น: 1.ลดปริมาณตะกอนที่ไหลลงสู่ทะเล เขื่อนและฝายสามารถกักเก็บตะกอนในอ่างเก็บน้ำ ทำให้มีตะกอนไหลไปถึงปากแม่น้ำน้อยลง ผลที่ตามมาคือชายฝั่งที่เคยได้รับตะกอนจากแม่น้ำอาจเริ่มเกิดการกัดเซาะ เพราะไม่มีการเติมตะกอนใหม่ที่สมดุลกับการพัดพาของคลื่นและกระแสน้ำชายฝั่ง 2.เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสะสมตะกอนที่ปากแม่น้ำ การลดปริมาณตะกอนอาจทำให้ปากแม่น้ำเกิดการลึกตัวและกระแสน้ำพัดพาตะกอนออกจากบริเวณที่เคยสะสมอยู่ ทำให้เกิดผลกระทบต่อแนวปะการัง หรือหาดทรายบริเวณใกล้เคียง 3.การเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำที่ปากแม่น้ำ กำแพงกันตลิ่ง หรือโครงสร้างอื่นๆ อาจเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ ทำให้ตะกอนถูกพัดไปสะสมที่อื่นแทนที่จะกระจายไปตามแนวชายฝั่ง 4.ผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง การเปลี่ยนแปลงปริมาณและองค์ประกอบของตะกอนอาจส่งผลต่อสัตว์น้ำที่พึ่งพาตะกอนแม่น้ำ เช่น หญ้าทะเล หรือปะการังที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของปริมาณตะกอนแขวนลอย หากเราจะศึกษาเชิงลึกในประเด็นนี้ อาจใช้แบบจำลองเช่น Delft3D, XBeach, หรือ COAST2D เพื่อจำลองการเปลี่ยนแปลงของปริมาณตะกอนที่ปากแม่น้ำและผลต่อชายฝั่ง หรือการสำรวจภาคสนาม เช่น การวัดปริมาณตะกอนแขวนลอย หรือการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งก่อนและหลังการสร้างโครงสร้างจากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมและเทคนิค Remote Sensing เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของปากแม่น้ำในระยะยาว ก็ทำได้เช่นกัน

Beachlover

April 22, 2025

Drone Lidar เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง

Drone Lidar เป็นเทคโนโลยีที่ใช้การยิงแสงเลเซอร์จากโดรน เพื่อวัดระยะระหว่างโดรนกับพื้นผิวได้อย่างแม่นยำ โดยมีข้อดีและประโยชน์หลายประการสำหรับการติดตามการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งทะเล ดังนี้: 1.สร้างแบบจำลองดิจิทัลของภูมิประเทศ (DEM) ที่ละเอียดสูงด้วย Drone Lidar เราสามารถสร้าง DEM ที่มีความละเอียดและความแม่นยำในระดับเซนติเมตร ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของรูปทรงพื้นผิวชายฝั่งได้อย่างละเอียด ตั้งแต่การกัดเซาะของหน้าผาหรือชายหาด ไปจนถึงการสะสมของทราย 2.ติดตามการเปลี่ยนแปลงและการกัดเซาะ/การทับถมการทำการสำรวจเป็นช่วงๆ จะช่วยให้เห็นแนวโน้มของการกัดเซาะหรือการสะสมของทรายในพื้นที่ชายฝั่ง การเปรียบเทียบข้อมูล DEM ในช่วงเวลาต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์อัตราและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงได้ 3.การวิเคราะห์โครงสร้างของพืชและสันทรายในบริเวณชายฝั่งนอกเหนือจากการจับภาพพื้นผิว Drone Lidar ยังสามารถแยกแยะข้อมูลระหว่างชั้นพืชกับพื้นดินได้ ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์และติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในบริเวณชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลนหรือป่าชายหาด 4.การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายการใช้โดรนช่วยให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก เช่น บริเวณหน้าผาชายฝั่งหรือพื้นที่ที่มีการกัดเซาะรุนแรง นอกจากนี้ Drone Lidar ยังสามารถทำงานในสภาพแสงที่หลากหลาย ซึ่งบางครั้งอาจเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบปกติ 5.การประยุกต์ร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆข้อมูล Lidar สามารถรวมเข้ากับข้อมูลจากภาพถ่ายอากาศ (photogrammetry) หรือข้อมูล GIS เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้นในการวิเคราะห์ปัญหาชายฝั่ง 6.การวางแผนและการบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่งด้วยข้อมูลที่ได้จาก Drone Lidar นักวิจัยและผู้จัดการทรัพยากรชายฝั่งสามารถวางแผนการป้องกันการกัดเซาะ คาดการณ์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม รวมถึงพัฒนาแนวทางการปรับตัวและการอนุรักษ์ทรัพยากรในระยะยาว สรุปได้ว่า การนำ […]

Beachlover

April 18, 2025

คลื่นและกระแสน้ำในทะเล เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

คลื่นทะเลและกระแสน้ำในมหาสมุทรเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของน้ำ แต่ทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกระแสน้ำเป็นการเคลื่อนที่ของมวลน้ำจริง ๆ ไปในทิศทางหนึ่ง ส่วนคลื่นทะเลเป็นการเคลื่อนที่ของพลังงานผ่านน้ำ ซึ่งมักไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของน้ำในระยะทางไกล ความแตกต่างระหว่างคลื่นทะเลและกระแสน้ำ กระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ลมที่พัดผ่านผิวน้ำ แรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง รวมถึงความแตกต่างของความหนาแน่นของน้ำจากอุณหภูมิและความเค็มที่ต่างกัน ในขณะที่กระแสน้ำเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ คลื่นทะเลส่วนใหญ่เกิดจากลมและมีลักษณะเป็นการเคลื่อนที่ของพลังงานมากกว่ามวลน้ำจริง ๆ โดยน้ำในคลื่นมักจะเคลื่อนที่เป็นวงกลมและกลับมาอยู่ที่เดิมหลังจากคลื่นผ่านไป อย่างไรก็ตาม คลื่นทะเลสามารถส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของน้ำในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่ง เมื่อคลื่นแตกตัวและซัดเข้าหาฝั่ง จะทำให้เกิดกระแสน้ำที่เคลื่อนกลับออกไปในทะเล นอกจากนี้ คลื่นที่เกิดจากพายุหรือคลื่นสึนามิยังสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของมวลน้ำจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำในมหาสมุทร แม้ว่าคลื่นทะเลจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนย้ายมวลน้ำในระยะไกลเช่นเดียวกับกระแสน้ำ แต่ในบริเวณชายฝั่ง คลื่นสามารถทำให้เกิดกระแสน้ำที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งและระบบนิเวศทางทะเลได้อย่างมีนัยสำคัญ

Beachlover

April 15, 2025
1 2 22