ความเค็มของน้ำทะเลไม่ได้คงที่ แต่มีความผันผวนและแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้

1. สมดุลระหว่างการระเหยและการเติมน้ำจืด:
- ทะเลแดง: เป็นตัวอย่างของทะเลที่มีความเค็มสูงมาก เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตอากาศร้อนและแห้งแล้ง ทำให้น้ำระเหยไปในปริมาณมาก แต่มีแหล่งน้ำจืดไหลเข้ามาเติมน้อย ความเข้มข้นของเกลือจึงเพิ่มสูงขึ้น
- ทะเลบอลติก: ตรงกันข้ามกับทะเลแดง ทะเลบอลติกมีความเค็มค่อนข้างต่ำ เพราะได้รับน้ำจืดจากแม่น้ำหลายสายที่ไหลลงมา รวมถึงปริมาณน้ำฝนที่สูง ทำให้ความเข้มข้นของเกลือเจือจางลง


2. การไหลเวียนของกระแสน้ำ:
- กระแสน้ำกัลฟ์สตรีม: เป็นกระแสน้ำอุ่นขนาดใหญ่ที่ไหลจากอ่าวเม็กซิโกขึ้นไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ พัดพาเกลือและแร่ธาตุไปด้วย ทำให้ความเค็มของน้ำทะเลในเส้นทางที่กระแสน้ำนี้ไหลผ่านสูงขึ้น
- กระแสน้ำลึก: ในขณะเดียวกัน กระแสน้ำเย็นที่ไหลลึกจากขั้วโลกก็มีบทบาทสำคัญในการกระจายความเค็ม โดยนำพาน้ำที่มีความเค็มต่ำไปยังบริเวณอื่น ทำให้ความเค็มของน้ำทะเลในบริเวณนั้นลดลง

3. ลักษณะทางภูมิศาสตร์:
- ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน: เป็นทะเลปิดที่มีการเชื่อมต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติกเพียงช่องแคบยิบรอลตาร์ ทำให้น้ำทะเลมีการระเหยสูง แต่มีน้ำจืดไหลเข้ามาเติมน้อย ส่งผลให้ความเค็มโดยเฉลี่ยสูงกว่ามหาสมุทรทั่วไป
- อ่าวไทย: เป็นอ่าวขนาดใหญ่ที่เปิดรับน้ำจืดจากแม่น้ำหลายสาย รวมถึงอิทธิพลจากลมมรสุมที่นำพาฝนมาตกในปริมาณมาก ทำให้ความเค็มของน้ำทะเลในอ่าวไทยค่อนข้างต่ำ
4. กิจกรรมของมนุษย์:
- การทำเกลือสินเธาว์: ในบางพื้นที่ การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำทะเลเพื่อให้ได้เกลือตกผลึก อาจทำให้ความเค็มของน้ำทะเลในบริเวณนั้นเพิ่มสูงขึ้น
- มลพิษทางน้ำ: การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือการรั่วไหลของน้ำมันลงสู่ทะเล นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อความเค็มของน้ำทะเลได้อีกด้วย

ความแตกต่างของความเค็มในน้ำทะเลไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การประมง การเดินเรือ และการท่องเที่ยว ความเค็มของน้ำทะเลยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสัตว์และพืชทะเล หากมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลได้
