Managed realignment-MR (หรือเรียกอีกอย่างว่า managed retreat) เป็นวิธีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนแนวป้องกันชายฝั่งเดิมให้ถอยร่นเข้ามาในแผ่นดิน เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งเดิมกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลน หรือหาดเลน

Managed Realignment คือกลยุทธ์เพื่อการบริหารจัดการชายฝั่งแบบหนึ่ง เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลงได้ปรับตัวได้ตามธรรมชาติตามธรรมชาติ โดยไม่มีการแทรกแซงหรือรบกวนจากภายนอก แนวทางนี้ได้รับความสนใจในยุโรปและอเมริกาเหนือในฐานะวิธีแก้ปัญหาตามธรรมชาติสำหรับการกัดเซาะชายฝั่ง การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย และการจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัย
หลักการสำคัญของ Managed Realignment:
- การยอมรับการเปลี่ยนแปลง: แทนที่จะต่อสู้กับการกัดเซาะชายฝั่งและน้ำท่วม Managed realignment ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหาทางปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้น
- การสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำ: การถอยร่นแนวป้องกันชายฝั่ง ช่วยให้เกิดพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งมีประโยชน์มากมาย เช่น
- เป็นแนวป้องกันชายฝั่งตามธรรมชาติ ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นและพายุ
- ดูดซับคาร์บอน ช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
- การลดค่าใช้จ่าย: Managed realignment อาจมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการสร้างแนวป้องกันชายฝั่งแบบแข็ง เช่น เขื่อน หรือกำแพงกันคลื่น

มีการเริ่มใช้ Managed Realignment ครั้งแรกในปี 1990 ที่เกาะ Northey ใน Essex และต่อมามีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีพื้นที่ที่ดำเนินการ Managed Realignment มากที่สุดในยุโรป จุดประสงค์ของ Managed Realignment คือการให้ประโยชน์หลายประการ ซึ่งรวมถึงการป้องกันน้ำท่วม การสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย และการกักเก็บคาร์บอน ตัวอย่างเช่น Steart Marshes ในสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นถึงอัตราการสะสมคาร์บอนที่สำคัญ โดยการสะสมของตะกอนมีส่วนทำให้เกิดการกักเก็บคาร์บอนในระดับสูง
Managed Realignment มักประสบปัญหาความท้าทาย เช่น การต่อต้านจากชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสียที่ดินที่มีค่า และความกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพเมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางแก้ปัญหาทางวิศวกรรมแบบดั้งเดิม การศึกษาที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า Managed Realignment อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าในการลดความเสี่ยงของประชากรต่อการเกิดน้ำท่วมบริเวณชายฝั่งมากกว่าการเพิ่มระดับสันกำแพงหรือเขื่อนกันคลื่น
Managed Realignment สามารถมีส่วนช่วยในการจัดการชายฝั่งในระยะยาวโดยการสร้างเขตกันชนที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือกับน้ำท่วมและสนับสนุนการฟื้นฟูแหล่งที่อยู่อาศัย การใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ Managed Realignment ยังขึ้นอยู่กับการแก้ไขความท้าทายทางสังคมและการเมือง เช่น ปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินและความจำเป็นในการจัดการแบบบูรณาการในพื้นที่รอยต่อระหว่างพื้นดินและทะเล
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการยอมรับของชุมชนต่อ Managed Realignment จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมผลิตความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่นและให้พวกเขามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งในระยะยาวของพื้นที่ที่ดำเนินการ Managed Realignment และประสิทธิภาพในการลดความรุนแรงของคลื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงและในกรณีของพืชปกคลุมที่แตกต่างกัน
ข้อควรพิจารณา:
- Managed realignment ไม่เหมาะสมกับทุกพื้นที่ ต้องมีการศึกษาและวางแผนอย่างรอบคอบ
- อาจมีผลกระทบต่อชุมชนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ จึงต้องมีการปรึกษาหารือและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
Managed realignment เป็นแนวทางที่น่าสนใจในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้ประโยชน์จากธรรมชาติในการปกป้องชายฝั่งและสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน แม้ว่า Managed Realignment จะเป็นแนวทางแก้ปัญหาตามธรรมชาติที่มีแนวโน้มที่ดีสำหรับการจัดการชายฝั่ง แต่การนำไปปฏิบัติต้องพิจารณาปัจจัยทางนิเวศวิทยา สังคม และวิศวกรรมอย่างรอบคอบ เพื่อเพิ่มประโยชน์สูงสุดและสร้างความมั่นใจในการยอมรับและความสำเร็จ