รูปตัดชายหาด มีความสำคัญอย่างไร

รูปตัดชายหาด (Beach Profile) คือ ภาพตัดขวางของชายหาดที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะภูมิประเทศของชายหาด ตั้งแต่บริเวณหลังหาด (backshore) ไปจนถึงเขตน้ำขึ้นน้ำลง (foreshore) และในบางกรณีอาจหมายรวมไปถึงเขตไหล่ทวีป (offshore) รูปตัดชายหาด (Beach Profile) เปรียบเสมือน “ลายนิ้วมือ” ของชายหาดแต่ละแห่ง ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะตัวของหาดนั้นๆ ตั้งแต่เนินทรายด้านหลังหาดที่อาจมีพืชพรรณปกคลุม ไปจนถึงพื้นทรายที่เปียกชื้นในเขตน้ำขึ้นน้ำลง และลึกลงไปในทะเลจนถึงบริเวณไหล่ทวีป รูปตัดชายหาดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจและจัดการชายฝั่งอย่างยั่งยืน 1. บันทึกการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง: รูปตัดชายหาดเปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่บันทึกการเปลี่ยนแปลงของหาดทรายในแต่ละช่วงเวลา เช่น ชายหาดหัวหินที่เคยกว้างขวาง อาจถูกกัดเซาะจนแคบลง หรือหาดในจังหวัดกระบี่ที่อาจมีตะกอนทับถมจนชายหาดขยายกว้างขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงสาเหตุและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง เพื่อวางแผนป้องกันและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที 2. ออกแบบเกราะป้องกันชายฝั่ง: รูปตัดชายหาดเป็นเสมือนพิมพ์เขียวที่วิศวกรใช้ในการออกแบบโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง เช่น หากหาดทรายมีความลาดชันสูง อาจต้องใช้โครงสร้างที่แตกต่างไปจากหาดที่มีความลาดชันต่ำ การออกแบบที่เหมาะสมกับลักษณะของหาดจะช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า 3. ดูแลระบบนิเวศชายฝั่ง: รูปตัดชายหาดช่วยให้เราเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมของชายหาด เช่น หากหาดทรายมีความลาดชันน้อย อาจเป็นแหล่งอาศัยของหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่หลบภัยของสัตว์น้ำ หรือหากมีแนวปะการังอยู่ใกล้ชายฝั่ง รูปตัดชายหาดจะช่วยให้เราประเมินผลกระทบของคลื่นและตะกอนที่มีต่อแนวปะการังได้ 4. เตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: รูปตัดชายหาดช่วยให้เราประเมินความเสี่ยงและวางแผนรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ชายหาดที่มีเนินทรายสูงอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าหาดที่มีความลาดชันต่ำ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถเลือกใช้มาตรการรับมือที่เหมาะสม เช่น การเสริมเนินทราย การเติมทรายชายหาด หรือการย้ายถิ่นฐานชุมชน 5. […]

Beachlover

July 20, 2024

น้ำทะเลเค็มเหมือนกันหรือไม่

ความเค็มของน้ำทะเลไม่ได้คงที่ แต่มีความผันผวนและแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ทำให้เกิดความแตกต่างนี้ 1. สมดุลระหว่างการระเหยและการเติมน้ำจืด: 2. การไหลเวียนของกระแสน้ำ: 3. ลักษณะทางภูมิศาสตร์: 4. กิจกรรมของมนุษย์: ความแตกต่างของความเค็มในน้ำทะเลไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังมีผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การประมง การเดินเรือ และการท่องเที่ยว ความเค็มของน้ำทะเลยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสัตว์และพืชทะเล หากมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลได้

Beachlover

July 18, 2024

SBEACH (Storm-Induced BEAch CHange)

SBEACH (Storm-Induced BEAch CHange) เป็นแบบจำลองเชิงตัวเลข 1 มิติที่พัฒนาขึ้นโดย U.S. Army Corps of Engineers (USACE) เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงรูปร่างชายหาดที่เกิดจากพายุ โดยเฉพาะการกัดเซาะและการทับถมของทรายในช่วงที่มีพายุ SBEACH ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ชายฝั่งในการประเมินผลกระทบของพายุต่อแนวชายฝั่ง ทำให้สามารถวางแผนและออกแบบมาตรการป้องกันชายฝั่งได้อย่างเหมาะสม เช่น การสร้างเขื่อนกันคลื่น หรือการเติมทรายเพื่อป้องกันการกัดเซาะ SBEACH (Storm-induced BEAch CHange) เป็นแบบจำลองเชิงตัวเลข ที่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงของลักษณะภูมิประเทศ เช่น สันทรายและเนินทราย พัฒนาโดย Larson และ Kraus ในปี 1989 SBEACH ใช้แนวคิดสมดุลของรูปร่างชายหาด (Equilibrium Beach Profile) เพื่อทำนายการเปลี่ยนแปลงของสัณฐานวิทยาของชายหาดอันเนื่องมาจากคลื่นพายุและระดับน้ำ แบบจำลองนี้ได้รับการตรวจสอบความถูกต้องโดยใช้ข้อมูลภาคสนามและการทดลองในห้องปฏิบัติการจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจำลองลักษณะภูมิประเทศขนาดใหญ่ของชายหาด รวมถึงสันทรายตามแนวยาวและการกัดเซาะของเนินทราย ข้อมูลป้อนเข้าหลักของ SBEACH ได้แก่ ความกว้างของเนินทราย เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยของเม็ดทราย ความลาดเอียงของชายหาด ระดับน้ำออกแบบ และสภาพคลื่น ในขณะที่ผลลัพธ์จะให้รายละเอียดพารามิเตอร์เกี่ยวกับการกัดเซาะของเนินทรายและการก่อตัวของสันทราย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคลื่นพายุที่สูงขึ้นส่งผลให้เกิดสันทรายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถลดพลังงานคลื่นและจำกัดการกัดเซาะของเนินทรายในภายหลัง ประสิทธิภาพของแบบจำลองในการทำนายการเปลี่ยนแปลงของชายหาดที่เกิดจากพายุได้รับการยืนยันจากการสังเกตภาคสนามและการจำลองเชิงตัวเลขต่างๆ […]

Beachlover

July 16, 2024

แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเล

แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น คลื่น กระแสน้ำ และการกระทำของมนุษย์ ซึ่งมีความหลากหลายและสามารถแบ่งประเภทตามวิธีการศึกษาและวัตถุประสงค์ได้ดังนี้ การเลือกใช้แบบจำลองขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษา ข้อมูลที่มีอยู่ และทรัพยากรที่สามารถจัดสรรได้ การทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละแบบจำลอง จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้แบบจำลองได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่การจัดการชายฝั่งที่ยั่งยืน

Beachlover

July 16, 2024

รอยคลื่นบนชายหาด เกิดจากอะไร?

รอยคลื่นบนชายหาดและเนินทรายนั้นเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติอันทรงพลัง ซึ่งมีทั้งลมและกระแสน้ำเป็นกลไกหลักในการก่อกำเนิด เมื่อคลื่นเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่ง การไหลเวียนของน้ำทะเลจะพัดพาเม็ดทรายให้เคลื่อนที่ไปด้วย เมื่อน้ำลดลง จะเกิดร่องเล็กๆ บนพื้นทราย คลื่นลูกถัดมาจะดันทรายกลับขึ้นไปจนเกิดสันทรายขนาดเล็ก วัฏจักรของการทับถมและการกัดเซาะนี้จะก่อให้เกิดรอยคลื่นที่มีลักษณะสมมาตร เรียงตัวขนานไปกับแนวชายฝั่ง อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของคลื่นที่สม่ำเสมอ ในกรณีที่กระแสน้ำมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น กระแสน้ำที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง หรือกระแสน้ำที่ไหลขนานไปกับชายฝั่ง จะส่งผลให้เกิดแรงกระทำต่อเม็ดทรายรุนแรงยิ่งขึ้น เม็ดทรายจะถูกพัดพาไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดรอยคลื่นแบบไม่สมมาตร โดยมีความลาดเอียงชันไปทางทิศทางของกระแสน้ำ ร่องรอยเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงพลังอันซ่อนเร้นของกระแสน้ำที่ค่อยๆ กัดกร่อนพื้นผิวชายฝั่งอย่างต่อเนื่อง บนชายหาดและเนินทรายที่แห้ง ลมจะทำหน้าที่เป็นผู้สลักเสลาธรรมชาติ เมื่อลมพัดผ่านพื้นผิวทราย มันจะพัดพาเม็ดทรายไปด้วย เมื่อลมปะทะสิ่งกีดขวาง เช่น ก้อนหิน หรือกลุ่มพืช จะทำให้ความเร็วลมลดลง และเกิดการทับถมของทรายเป็นเนินขนาดเล็ก จากนั้นลมจะพัดพาเม็ดทรายจากด้านหนึ่งของเนินไปทับถมอีกด้านหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดรอยคลื่นแบบไม่สมมาตร โดยมีความลาดเอียงชันไปทางทิศทางของลม คล้ายกับเนินทรายขนาดเล็ก ขนาดและระยะห่างของรอยคลื่นจะแตกต่างกันไปตามความเร็วและทิศทางของลมหรือกระแสน้ำ รวมถึงขนาดของเม็ดทราย ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดรูปแบบของรอยคลื่นที่หลากหลาย ตั้งแต่รอยคลื่นขนาดเล็กที่มีระยะห่างใกล้กัน ไปจนถึงรอยคลื่นขนาดใหญ่ที่มีระยะห่างมาก แต่ละรูปแบบล้วนสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดรอยคลื่น ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงพลวัตของธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบริเวณชายฝั่ง

Beachlover

July 14, 2024

Managed realignment กลยุทธ์เพื่อการบริหารจัดการชายฝั่ง

Managed realignment-MR (หรือเรียกอีกอย่างว่า managed retreat) เป็นวิธีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนแนวป้องกันชายฝั่งเดิมให้ถอยร่นเข้ามาในแผ่นดิน เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งเดิมกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลน หรือหาดเลน Managed Realignment คือกลยุทธ์เพื่อการบริหารจัดการชายฝั่งแบบหนึ่ง เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลงได้ปรับตัวได้ตามธรรมชาติตามธรรมชาติ โดยไม่มีการแทรกแซงหรือรบกวนจากภายนอก แนวทางนี้ได้รับความสนใจในยุโรปและอเมริกาเหนือในฐานะวิธีแก้ปัญหาตามธรรมชาติสำหรับการกัดเซาะชายฝั่ง การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย และการจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัย หลักการสำคัญของ Managed Realignment: มีการเริ่มใช้ Managed Realignment ครั้งแรกในปี 1990 ที่เกาะ Northey ใน Essex และต่อมามีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีพื้นที่ที่ดำเนินการ Managed Realignment มากที่สุดในยุโรป จุดประสงค์ของ Managed Realignment คือการให้ประโยชน์หลายประการ ซึ่งรวมถึงการป้องกันน้ำท่วม การสร้างแหล่งที่อยู่อาศัย และการกักเก็บคาร์บอน ตัวอย่างเช่น Steart Marshes ในสหราชอาณาจักรแสดงให้เห็นถึงอัตราการสะสมคาร์บอนที่สำคัญ โดยการสะสมของตะกอนมีส่วนทำให้เกิดการกักเก็บคาร์บอนในระดับสูง Managed Realignment มักประสบปัญหาความท้าทาย เช่น การต่อต้านจากชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสียที่ดินที่มีค่า […]

Beachlover

July 12, 2024

โครงการสร้างเกาะเทียม อาจส่งผลอะไรบ้าง

โครงการถมทะเลเพื่อสร้างเกาะเทียม เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่พบได้ทั่วโลก โดยมีวัตถุประสงค์หลากหลาย เช่น เพื่อการอยู่อาศัย การท่องเที่ยว หรือเพื่อสร้างพื้นที่อุตสาหกรรม การก่อสร้างเกาะเทียมเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่มีโครงการสำคัญในหลากหลายภูมิภาค ซึ่งแต่ละโครงการมีผลกระทบที่แตกต่างกันต่อสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมือง ในทะเลจีนใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้พัฒนาเกาะเทียมอย่างรวดเร็ว เพิ่มการควบคุมทางการเมืองเหนือภูมิภาค ในขณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก รวมถึงการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติและระบบนิเวศ ในทำนองเดียวกัน ในช่องแคบ Qiongzhou การก่อสร้างเกาะเทียม Ruyi ได้เปลี่ยนแปลงสนามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง และก่อให้เกิดการกัดเซาะและการทับถมของตะกอน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผืนน้ำโดยรอบ ในอ่าวเปอร์เซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นผู้บุกเบิกในการสร้างเกาะเทียม ด้วยโครงการต่างๆ เช่น Palm Jumeirah ในดูไบ ซึ่งได้ทำลายสิ่งมีชีวิตทางทะเล เพิ่มความขุ่นของน้ำ และรบกวนการเคลื่อนที่ของตะกอนตามธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบ แล้วก็ตาม ในทะเลเหลืองตอนใต้ การก่อสร้างเกาะเทียม Xitaiyang Sand Shoal ได้รับการศึกษาถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางอุทกพลศาสตร์และตะกอน ซึ่งเผยให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันการกัดเซาะที่มีประสิทธิภาพเพื่อรักษาเสถียรภาพของพื้นที่ นอกจากนี้ ใน Tang Shan Bay การก่อสร้างเกาะเทียมได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางอุทกพลศาสตร์และเปลี่ยนแปลงลักษณะของการกัดเซาะ-ทับถม โดยรวมแล้ว ในขณะที่เกาะเทียมเสนอผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์และเศรษฐกิจ เช่น ความมั่นคงด้านพลังงานของจีนในทะเลจีนใต้ แต่ก็ก่อให้เกิดความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ซึ่งต้องมีการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดและกลยุทธ์การบรรเทาผลกระทบที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบนิเวศทางทะเลและพลวัตของชายฝั่ง […]

Beachlover

July 10, 2024

พื้นที่ชายฝั่งทะเล อาจเสี่ยงภัยต่อสิ่งใดบ้างภายใต้สถานการณ์โลกรวน

นอกจากบทความนี้แล้ว สามารถอ่านเพิ่มในแบบที่ไม่เป็นวิชาการมากนักได้ที่ https://beachlover.net/น้ำทะเลล้นฝั่ง-ภัยเนิบช/ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล (SLR) เป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก โดยมีผลกระทบที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศ การใช้ที่ดิน และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม การวิจัยระบุว่าเขตชายฝั่งที่ต่ำ เช่น Karasu ในตุรกี มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ โดยมีระดับการคาดการณ์น้ำท่วม 1.40%, 6.02% และ 29.27% สำหรับสถานการณ์ SLR 1 ม., 2 ม. และ 3 ม. ภายในปี 2100 ตามลำดับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเขตเมือง พื้นที่เพาะปลูก และป่าไม้   ในทำนองเดียวกัน ในโปรตุเกส การขยายตัวของเขตอันตราย SLR เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้น 2.1 มม./ปี ระหว่างปี 1977 ถึง 2000 และการคาดการณ์ในอนาคตคาดว่าค่า SLR จะอยู่ระหว่าง 0.74 ม. ถึง 0.81 ม. ภายในปี 2100 ภายใต้สถานการณ์ SSP5   ที่ราบชายฝั่ง […]

Beachlover

July 8, 2024

มาตรการลดผลกระทบจากการแทรกตัวของน้ำเค็มบริเวณปากแม่น้ำ

การแทรกตัวของน้ำเค็ม (Saltwater intrusion) บริเวณปากแม่น้ำ คือ ปรากฏการณ์ที่น้ำเค็มจากทะเลไหลย้อนขึ้นมาในแม่น้ำ ทำให้พื้นที่บริเวณปากแม่น้ำมีปริมาณความเค็มของน้ำสูงขึ้นกว่าปกติ โดย Beach Lover ได้เคยนำเสนอไว้แล้วในโพส https://beachlover.net/saltwater-intrusion/ ครั้งนี้ขอกล่าวถึงเฉพาะการลดผลกระทบจากการแทรกตัวของน้ำเค็มบริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้มาตรการที่หลากหลายและบูรณาการ ทั้งแบบใช้โครงสร้างและไม่ใช้โครงสร้าง ดังนี้ มาตรการใช้โครงสร้าง มาตรการไม่ใช้โครงสร้าง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เช่น สิ่งสำคัญคือการบูรณาการมาตรการต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการลดผลกระทบจากการแทรกตัวของน้ำเค็มบริเวณปากแม่น้ำ

Beachlover

July 6, 2024

ชายหาดที่รถวิ่งได้ จะต้องมีลักษณะอย่างไร

ชายหาดที่รถวิ่งได้ จะต้องมีลักษณะดังนี้: ลักษณะทางกายภาพ: Beach Lover ขอยกตัวอย่างชายหาดที่จัดเทศกาลรถวิ่งบนชายหาดทุกปีอย่างหาด Chirihama ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทร Noto ในจังหวัด Ishikawa ประเทศญี่ปุ่น มีลักษณะเฉพาะที่ทำให้รถยนต์สามารถขับบนชายหาดได้ นั่นคือเม็ดทราย ทรายบนหาด Chirihama นั้นละเอียดและแน่นเป็นพิเศษ ความแน่นนี้เกิดจากหลายปัจจัย: การรวมกันของปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดพื้นผิวที่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของยานพาหนะ รวมถึงรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และแม้กระทั่งรถบัส ลักษณะเฉพาะนี้ทำให้หาด Chirihama กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ซึ่งผู้มาเยือนสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์แปลกใหม่ในการขับรถเลียบชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าไม่อนุญาตให้ขับรถบนชายหาดภายใต้เงื่อนไขทั้งหมด เมื่อคลื่นสูงหรือทรายเปียกเกินไป ชายหาดอาจปิดไม่ให้รถเข้าเพื่อความปลอดภัย กฎหมายและข้อบังคับ: ข้อควรระวัง:

Beachlover

July 5, 2024
1 2 3 5