Beach Lover เน้นย้ำไว้ในหลายโพสเสมอว่า การใช้มาตรการ“กำแพงกันคลื่น” เพื่อป้องกันการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่ง ควรเป็นทางเลือกท้ายๆ และควรใช้ยามจำเป็นเท่านั้น แต่หากจำเป็นต้องเลือกใช้ “กำแพงกันคลื่น” เพื่อลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งนั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาร่วมกัน ทั้งในเชิงเทคนิค เศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และการบำรุงรักษาในระยะยาว

ในโพสนี้ Beach Lover ชวนเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยของกำแพงกันคลื่นสองรูปแบบคือ คอนกรีตเสริมเหล็กแบบตั้งตรง ที่มักพบเห็นในหลายพื้นที่โดยเฉพาะงานก่อสร้างในอดีตที่องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมชายฝั่งทะเลยังไม่กว้างขวาง และอีกแบบคือแบบหินทิ้ง ที่กรมเจ้าท่าและกรมโยธาธิการและผังเมืองนิยมใช้กันในปัจจุบัน สรุปข้อมูลเปรียบเทียบเบื้องต้นได้ดังนี้
กำแพงกันคลื่นคอนกรีตเสริมเหล็กแบบตั้งตรง: เป็นกำแพงแนวดิ่ง (Vertical) หรือกำแพงโค้ง (Curved/Fender Wall) ที่ออกแบบมาให้รับแรงกระแทกของคลื่นโดยตรง และสะท้อนกลับไปสู่ทะเล ภายในโครงสร้างมักเสริมเหล็กและคอนกรีตให้ได้ความแข็งแรงเพียงพอต่อแรงกระแทก (อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://beachlover.net/concrete-seawall-1/)


กำแพงกันคลื่นหินเรียง: ตัวโครงสร้างหลักมักทำจากหินธรรมชาติหลายขนาด วางซ้อนกันเป็นชั้นเพื่อลดพลังงานของคลื่น หินเกราะด้านนอกต้องเป็นหินขนาดใหญ่ที่สุด รองลงมาเป็นหินชั้นในที่มีขนาดย่อมลงมา โครงสร้างมักมีชั้นกรอง (Filter Layer หรือ Geotextile) เพื่อป้องกันการพังทลายของดินหรือทรายใต้โครงสร้าง (อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://beachlover.net/rubble-mound-seawall/)


แล้วแบบไหน ป้องกันพื้นที่ด้านในได้ดีกว่ากัน สามารถเปรียบเทียบได้ใน 3 ประเด็นหลักได้แก่
1.ความสามารถในการต้านทานและลดพลังงานคลื่น
โครงสร้างแบบหินเรียง มีคุณสมบัติในการลดพลังงานและการซัดกัดเซาะด้านหลังโครงสร้างได้ดี เนื่องจากคลื่นถูกลดแรงกระแทกหลายชั้น แต่ก็ต้องการพื้นที่ด้านหน้ามาก ส่วนโครงสร้างคอนกรีตแบบตั้งตรง มักสะท้อนคลื่นกลับ จึงอาจเกิดการกัดเซาะปลายโครงสร้าง หรือด้านหน้าฐานได้มากกว่า
2. ผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสมดุลทรายชายฝั่ง
ทั้งสองแบบมีโอกาสรบกวนการเคลื่อนที่ของตะกอน (Sediment transport) ขึ้นกับตำแหน่งที่ก่อสร้างและการออกแบบปลายโครงสร้าง โดยทั่วไป แนวหินเรียงที่มีความลาดเอียงและมีร่องช่องว่าง อาจช่วยดักหรือชะลอการเคลื่อนของตะกอนได้บ้าง ในขณะที่กำแพงแบบตั้งตรงจะสะท้อนคลื่นและเกิดการเร่งความเร็วของน้ำได้ง่ายกว่า
3.การกัดเซาะด้านข้าง (End Effect)
เกิดได้กับทุกโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นแบบหินเรียงหรือกำแพงคอนกรีตแบบตั้งตรง การออกแบบต่อเนื่อง หรือการจัดการท้ายโครงสร้างจึงเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากตัวโครงสร้างเอง
สรุป
– ถ้าต้องการลดพลังงานคลื่น และมีพื้นที่ให้โครงสร้างกว้างขึ้น แนวหินเรียง จะมีประสิทธิภาพในการลดการกัดเซาะหลังโครงสร้างได้ค่อนข้างดี และสามารถปรับตัวได้ยืดหยุ่นต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
– ถ้าพื้นที่ชายฝั่งมีอย่างจำกัด หรือต้องการใช้ประโยชน์ด้านบนโครงสร้าง คอนกรีตแบบตั้งตรง อาจตอบโจทย์ แต่ต้องออกแบบฐานรากให้แข็งแรง และต้องยอมรับผลกระทบจากการสะท้อนกลับของคลื่นที่มากขึ้น