เราศึกษาผลกระทบของกำแพงกันคลื่นกันอย่างไร

การเลือกมาตรการป้องกันโดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมควรเลือกเฉพาะพื้นที่ที่มีความจำเป็นมากทางเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม โดยพิจารณาทางเลือกอื่นๆประกอบการพิจารณา หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้โครงสร้างได้ ควรใช้อย่างจำกัดที่สุด และเลือกรูปแบบที่รบกวนกระบวนการธรรมชาติให้น้อยที่สุดเท่านั้น  

โครงสร้างกำแพงกันคลื่นเป็นทางเลือกเพื่อการป้องกันชายฝั่งทะเลที่นิยมใช้กันมากในยุคปัจจุบัน โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบมักระบุว่าเป็นแนวทางเลือกที่ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการป้องกันชายฝั่งในหลายๆพื้นที่เห็นพ้องต้องกันมากที่สุด เช่น หาดมหาราช หาดม่วงงาม จ.สงขลา หาดชะอำ จ.เพชรบุรี ปากน้ำปราณ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น ส่วนหนึ่งของคำอธิบายโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อประกอบการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมีดังนี้

(1) ก่อสร้างได้ง่าย และรวดเร็วกว่าโครงสร้างประเภทอื่นๆ

(2) เป็นโครงสร้างทางทะเลที่ไม่ต้องจัดทำรายการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ณ เวลานั้น ซึ่งเป็นช่วงก่อนปี 2566 ที่การก่อสร้างกำแพงกันคลื่นไม่ต้องจัดทำ EIA) ยิ่งส่งผลให้กระบวนการใช้ระยะเวลาสั้นลงกว่ารูปแบบอื่น

(3) ง่ายต่อการบำรุงรักษาเพราะเป็นโครงสร้างประชิดชายฝั่ง 

(4) พื้นที่บนสันกำแพงและด้านหน้าสามารถใช้เป็นพื้นที่สาธารณะและปรับภูมิทัศน์ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้

(5) พื้นที่ด้านหลังกำแพงปลอดภัยจากการการกัดเซาะชายฝั่ง

ข้อเท็จจริงตามทฤษฎีคือ โครงสร้างกำแพงกันคลื่นมีลักษณะเป็นกําแพงวางตัวตามแนวประชิดและขนานชายฝั่ง เพื่อรับแรงปะทะจากคลื่น ทำหน้าที่ตรึงแนวชายฝั่งให้อยู่กับที่ ช่วยรักษาเสถียรภาพของพื้นที่บริเวณริมชายฝั่งด้านหลังกำแพงกันคลื่นไม่ให้ถูกกัดเซาะ แต่ไม่ช่วยป้องกันพื้นที่ชายหาดบริเวณด้านหน้ากำแพงกันคลื่น และบริเวณข้างเคียง บริเวณชายฝั่งที่มีปัญหาการกัดเซาะพบว่าชายหาดด้านหน้ากำแพงกันคลื่นจะมีขนาดแคบลง และมักจะหายไปในที่สุดถ้าตะกอนบริเวณชายฝั่งมีปริมาณไม่เพียงพอ โดยจะออกแบบไปเป็นรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเชิงพื้นที่ทั้งในแง่ของลักษณะทางกายภาพ กระบวนการทางชายฝั่ง การยอมรับของประชาชน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และงบประมาณ 

กำแพงกันคลื่นทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างน้ำและตะกอนทรายรวมไปถึงคลื่นและกระแสน้ำ ไม่เหมือนเดิมกับชายหาดธรรมชาติในส่วนที่ไม่มีโครงสร้างกำแพงกันคลื่น ดังนั้นพื้นที่ชายฝั่งและบริเวณข้างเคียงกำแพงกันคลื่นจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากกรณีที่ไม่มีโครงสร้างกำแพงกันคลื่น ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตามอ่านเพิ่มเติมได้จากโพส กำแพงกันคลื่น…ไปต่อหรือพอแค่นี้

หากเราจะศึกษาผลกระทบของกำแพงกันคลื่นที่สร้างไปแล้ว เราต้องทำยังไง?

ข้อมูล

  1. ข้อมูลภูมิศาสตร์และภูมิประเทศชายฝั่ง
    • แบบจำลองความสูงชายฝั่ง (DEM): ข้อมูลความสูงของพื้นผิวดินบริเวณชายฝั่ง ใช้วิเคราะห์โครงสร้างภูมิประเทศและการเปลี่ยนแปลงระดับพื้นที่เมื่อมีการกัดเซาะหรือทับถม
    • แผนที่ชายฝั่ง: แผนที่แบบละเอียดที่แสดงแนวชายฝั่ง โครงสร้างภูมิประเทศ และสิ่งปลูกสร้างใกล้เคียง ใช้ประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง
    • ภาพถ่ายทางอากาศ/ภาพถ่ายดาวเทียม: ใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งในช่วงเวลาก่อนและหลังการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น
  2. ข้อมูลด้านสมุทรศาสตร์
    • คลื่น: ข้อมูลเกี่ยวกับความสูง คาบ และทิศทางของคลื่น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการกัดเซาะชายฝั่งและการกระจายตัวของตะกอน
    • กระแสน้ำ: ข้อมูลการเคลื่อนที่ของกระแสน้ำในพื้นที่ ซึ่งอาจมีผลต่อการกัดเซาะหรือการสะสมตัวของตะกอนหน้ากำแพง
    • ระดับน้ำทะเล: ข้อมูลน้ำขึ้นน้ำลง ระดับน้ำเฉลี่ย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลในอนาคต ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของกำแพงกันคลื่น
  3. ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง
    • การกัดเซาะและการทับถมตะกอน: ติดตามว่ากำแพงกันคลื่นส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งที่ใด หรือพื้นที่ใดเกิดการสะสมตัวของทราย
    • การเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่ง: ใช้ข้อมูลระยะยาวเพื่อตรวจสอบว่าแนวชายฝั่งเคลื่อนตัวเข้าหรือถอยออกจากชายฝั่งในแต่ละจุด
    • ภาพถ่าย: วิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายจากอดีต เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ
  4. ข้อมูลโครงสร้างกำแพงกันคลื่น
    • ขนาดและวัสดุ: เช่น ความยาว ความสูง ความกว้าง และประเภทของวัสดุที่ใช้ (คอนกรีต หิน ฯลฯ) ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    • รูปแบบการก่อสร้าง: เช่น กำแพงกันคลื่นแบบตั้งตรง แบบลาดเอียง ซึ่งส่งผลต่อการสะท้อนคลื่นและการเคลื่อนที่ของตะกอน
    • การออกแบบที่ตั้ง: ตรวจสอบว่ากำแพงกันคลื่นตั้งอยู่ในจุดที่เหมาะสมหรือส่งผลกระทบต่อพื้นที่อื่น
  5. ข้อมูลสิ่งแวดล้อม
    • ระบบนิเวศชายฝั่ง: เช่น ป่าชายเลน แนวปะการัง หรือทุ่งหญ้าทะเล ซึ่งอาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำแพงกันคลื่น
    • ผลกระทบต่อชุมชน: เช่น การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่ง หรือความเสียหายต่อธุรกิจท่องเที่ยว

วิธีการวิเคราะห์

  1. แบบจำลองทางคณิตศาสตร์
    • ใช้แบบจำลอง เช่น  MIKE21 เพื่อคำนวณว่ากำแพงกันคลื่นเปลี่ยนทิศทางหรือพลังงานคลื่นอย่างไร
    • แบบจำลอง 1 มิติ เช่น One-line model เพื่อวิเคราะห์แนวชายฝั่งข้างเคียงที่เปลี่ยนแปลงไปจากการสร้างกำแพงกันคลื่น
    • จำลองกระแสน้ำและการสะสมตัวของตะกอนเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว
  2. การสำรวจภาคสนาม
    • วัดระดับตะกอน: ใช้เครื่องมือวัดระดับตะกอนใกล้กำแพงเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง
    • การวัดลักษณะชายฝั่ง: ใช้ GPS และ Drone บันทึกตำแหน่งและลักษณะของแนวชายฝั่ง
  3. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ
    • ศึกษาพื้นที่ตัวอย่างที่มีกำแพงกันคลื่น และเปรียบเทียบกับพื้นที่ที่ไม่มีกำแพง เพื่อดูว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะใด
  4. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
    • ประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงของป่าชายเลน หรือแนวปะการัง
    • ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ความพึงพอใจของชุมชน

โดยสรุป การวิเคราะห์ผลกระทบของกำแพงกันคลื่นต้องอาศัยข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ และสังคมเศรษฐกิจ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะสร้างประโยชน์สูงสุดโดยมีผลกระทบเชิงลบน้อยที่สุด