Beach Lover ได้เคยพาชมโครงการปักไม้ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลไปแล้วในหลายพื้นที่ ติดตามได้จากโพสเก่าๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักเรียกโครงสร้างนี้ว่า “รั้วไม้ดักทราย (sand fence)” ซึ่งหากเราสืบค้นคำนี้ในหลากหลายช่องทางจะพบว่า มีการใช้โครงสร้างลักษณะนี้เพื่อดักทรายที่ถูกพัดพาเข้าหาฝั่งโดยลมในหลายประเทศ

หลักการทำงานคือการลดความเร็วลมที่พัดพาทรายเข้าหาฝั่ง เมื่อกระแสลมพัดผ่านรั้วที่มีความโปร่งส่วนหนึ่ง ลมจะสูญเสียพลังงานและเกิดกระแสวนหลังรั้ว ส่งผลให้ทรายซึ่งถูกลมพัดมากับกระแสลมตกสะสมบริเวณด้านหน้าหรือด้านหลังรั้วได้มากขึ้น ด้วยความที่รั้วไม้มีลักษณะเป็นสิ่งกีดขวางกึ่งผ่านได้ จึงช่วยลดความเร็วลมลงโดยไม่กีดขวางลมทั้งหมด ผลคือแรงลมไม่เพียงพอจะพัดพาทรายต่อไป ทำให้เม็ดทรายตกทับถมบริเวณรอบๆ รั้วทั้งด้านเหนือลมและใต้ลมของรั้ว (ด้านใต้ลมจะมีการสะสมทรายมากกว่า) กระบวนการนี้คล้ายคลึงกับการใช้พืชชายหาดช่วยดักทราย กล่าวคือรั้วไม้ทำหน้าที่เลียนแบบกลไกธรรมชาติของพืชที่ลดความเร็วลมและดักจับเม็ดทรายไว้กับที่ เมื่อติดตั้งรั้วใหม่แรกเริ่มจะเกิดการสะสมทรายอย่างรวดเร็ว ทั้งการทับถมในแนวดิ่ง (เพิ่มความสูง) และแนวระดับ จากนั้นอัตราการสะสมจะช้าลงจนเข้าสู่สมดุลเมื่อปริมาณทรายรอบรั้วเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่ง ปริมาณทรายที่สะสมสามารถพอกพูนจนมีความสูงใกล้เคียงกับความสูงรั้วในที่สุด
แต่จากภาพเชิงประจักษ์ที่พบเห็นได้บนชายหาดในประเทศไทย รั้วไม้ที่ว่านี้วางตัวในแนวเกือบขนานกับชายฝั่ง (ซิกแซกในบางพื้นที่) อีกทั้งยังจมอยู่ในน้ำในบางช่วงเวลาและรับแรงปะทะของคลื่นโดยตรง Beach Lover วิเคราะห์แล้วพบว่า โครงสร้างลักษณะนี้ทำหน้าที่คล้ายกับ “โครงสร้างป้องกันคลื่นแบบสันเตี้ยชนิดโปร่ง (Low-Crested Permeable Coastal Protection Structure)” มากกว่าที่จะเป็น “รั้วดักทราย” ที่ใช้ควบคุมการเคลื่อนที่ของทรายโดยลม (Aeolian Transport) ตามหลักการที่ควรจะเป็นที่ได้กล่าวถึงไว้ในต้นโพส

ประสิทธิภาพของโครงสร้างในการดักทรายจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางอุทกพลศาสตร์บริเวณใกล้ชายฝั่งเป็นสำคัญ ไม่ใช่การเคลื่อนที่และพัดพาของตะกอนโดยลมอีกต่อไป โดยกลไกหลักนั้นประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1) การลดทอนพลังงานคลื่น: โครงสร้างทำให้พลังงานคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านลดลง ผ่านกระบวนการส่งผ่าน (Transmission) การสะท้อน (Reflection) และการสลายพลังงาน (Dissipation) ซึ่งการสลายพลังงานผ่านการสร้างความปั่นป่วน (Turbulence) รอบๆ แนวเสาไม้นับเป็นกลไกที่สำคัญที่สุด
2) การลดความเร็วของกระแสน้ำ: โครงสร้างทำหน้าที่เป็นสิ่งกีดขวางที่สร้างแรงต้านทานทางอุทกศาสตร์ (Hydraulic Resistance) ส่งผลให้ความเร็วของกระแสน้ำเลียบชายฝั่ง (Longshore Current) และกระแสน้ำในแนวเข้า-ออกกับชายฝั่ง (Cross-shore Current) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไหลกลับของน้ำในเขต Swash zone (Backwash) ลดลง
3) การส่งเสริมการตกตะกอน: เมื่อพลังงานคลื่นและความเร็วของกระแสน้ำบริเวณด้านหลังโครงสร้างลดลง ความสามารถในการพัดพาตะกอนของน้ำ (Sediment Transport Capacity) ก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้ตะกอนที่แขวนลอยอยู่ในมวลน้ำตกทับถมลงสู่พื้น เกิดเป็นการสะสมตัวของตะกอนและทำให้ชายหาดมีเสถียรภาพมากขึ้น

ปัจจัยสำคัญในการออกแบบที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของโครงสร้าง ได้แก่ ตำแหน่งการวางในแนวขนานกับชายฝั่ง (Along-shore Position), ระดับความสูงของสันโครงสร้าง (Crest Elevation) และ ความโปร่งของโครงสร้าง (Permeability)

การวางโครงสร้างในเขต Swash Zone จะส่งผลโดยตรงต่อการไหลขึ้น-ลงของคลื่นบนหน้าหาด ในขณะที่การวางในเขตคลื่นแตก (Surf Zone) จะทำหน้าที่เป็นกำแพงกันคลื่นใต้น้ำ ระดับสันโครงสร้างเมื่อเทียบกับระดับทะเลปานกลาง (MSL) และระดับคลื่น เป็นตัวกำหนดปริมาณพลังงานคลื่นที่จะข้ามและผ่านโครงสร้างไปได้ ส่วนความโปร่ง ซึ่งควบคุมโดยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางและระยะห่างของเสา เป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างสมดุลระหว่างการดักตะกอนและการปล่อยให้ตะกอนบางส่วนเคลื่อนที่ผ่านไปเพื่อลดผลกระทบต่อชายหาดด้านท้ายน้ำ (Downdrift Erosion)

