ตามที่สื่อหลายสำนัก รายงานข่าวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมของปีที่ผ่านมาถึงความเสียหายของกำแพงกันคลื่นและทางเดินสาธารณะบนเกาะพีพี จ.กระบี่ เป็นต้นว่า (Click ที่ชื่อหัวข้อข่าว เพื่อนำไปสู่บทความเฉพาะเต็ม)
ทะเลคลั่งที่เกาะพีพี คลื่นลมหัวนอน 3 เมตร ซัดเขื่อนพังกว่า 100 เมตร
ระทึก! เกาะพีพีคลื่นรุนแรงซัดฝั่ง ทำเขื่อนกั้นบริเวณหน้าโรงพยาบาลเกาะพีพี พังเสียหาย
เกาะพีพีระทึก คลื่นลมแรงซัดชายฝั่ง เขื่อนกั้นน้ำหน้า รพ.เกาะพีพี พังเสียหาย
คลื่นซัดฝั่งรุนแรง ทำให้เขื่อนกั้นบริเวณหน้าโรงพยาบาลเกาะพีพี พังเสียหาย
ส.ส.ภูมิใจไทย จี้รัฐบาล เร่งใช้งบ 67 แก้ปัญหาเขื่อนท่าเทียบเรือเกาะพีพีพังถล่ม
หน่วยงานลงพื้นที่สำรวจประเมินความเสียหายแนวเขื่อนหน้าเกาะพีพี จ.กระบี่ ถูกคลื่นพัดพังเสียหาย
Beach Lover ได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของโครงสร้างตามข่าวนี้ ตลอดทั้งแนวกว่า 300 เมตร บริเวณทิศตะวันตกของอ่าวต้นไทร ในวันที่ 9 สิงหาคม 2567 มีสภาพทั่วไปตาม Post https://beachlover.net/erosion-tonsai-pp-aug24/
โดยหลังจากนั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งท้องถิ่น กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงบริษัทที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกันหลายรอบ นำมาซึ่งการตั้งงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว



ปลายเดือนเมษายน 2568 Beach Lover ได้ลงไปติดตามความเสียหายของโครงสร้างนี้อีกรอบ พบว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบยังไม่ได้ดำเนินการใดๆเลย แม้แต่กระทั่งการกั้นเขตอันตรายที่ควรทำเป็นลำดับแรก ทั้งยังไม่พบรื้อถอนเพื่อคืนพื้นที่ใช้ประโยชน์บนชายหาด และเพื่อความปลอดภัยของผู้มาเยือน โดยยังพบการใช้ประโยชน์บนซากปรักหักพังดังกล่าวอย่างเป็นปกติทั้งที่ค่อนข้างอันตราย เสี่ยงที่นักท่องเที่ยวจะลื่นหรือถูกเศษปูน หิน และเหล็กเส้นทิ่มตำเอาได้


พบว่าเศษวัสดุที่เคยพังเสียหายเดิมถูกคลื่นซัดให้แตกและพังเสียหายมากยิ่งขึ้น เกเบี้ยน และแผ่นพื้นที่หลุด ก็หลุดและเคลื่อนออกจากที่เดิมเมื่อสิงหาคมปีที่แล้วค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ปกติของโครงสร้างริมชายหาดที่พังทลายและยังไม่ได้รับการรื้อถอน เนื่องจากโครงสร้างบางส่วนที่พังเสียหายเมื่อถูกคลื่นซัดก็จะไปกระแทกและดึงรั้งเอาโครงสร้างที่อาจจะยังคงสภาพดีให้พังทลายตามๆกันมา




เป็นที่ประจักษ์ว่า โครงสร้างที่พังเสียหายนี้ วางตัวอยู่บนชายหาดที่น้ำท่วมถึงเกือบตลอดเวลา โดยที่ใต้โครงสร้างนี้คือชั้นของหาดทรายเดิม ไม่น่าแปลกใจหากจะเกิดการพังเสียหาย เพราะยื่นล้ำลงไปรับแรงปะทะของคลื่นมากกว่าชายหาดปกติที่อยู่บริเวณข้างเคียง

พบว่าบริเวณถัดไปทางทิศตะวันตกหรือถัดจากตำแหน่งสิ้นสุดโครงสร้างที่พังนั้น ยังคงสภาพปกติ โดยยังไม่พบร่องรอยของการกัดเซาะชายฝั่งแต่อย่างใด

