Geotextile คือวัสดุสังเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายผ้าซึ่งผลิตจากพอลิเมอร์สังเคราะห์ เช่น โพลีโพรพิลีน (Polypropylene) หรือโพลีเอสเตอร์ (Polyester) Geotextile มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีความซึมผ่านได้ (permeable) มีความแข็งแรงทนทานสูง น้ำหนักเบา และทนต่อการย่อยสลายทางชีวภาพ จึงสามารถนำมาใช้ร่วมกับโครงสร้างทางวิศวกรรมอื่นๆอย่างแพร่หลาย
การใช้ Geotextile ร่วมกับกำแพงกันคลื่นแบบหินเรียงหรือหินทิ้ง มีวัตถุประสงค์เพื่อ
- แยกชั้นวัสดุ (Separation): Geotextile ใช้เพื่อป้องกันการผสมกันระหว่างชั้นดินและวัสดุก่อสร้าง เช่น หินทิ้งหรือหินเรียง ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพของโครงสร้าง
- กรองน้ำ (Filtration): ช่วยให้น้ำสามารถไหลผ่านได้ แต่ป้องกันการพัดพาเม็ดดินเม็ดทรายออกไป ลดปัญหาการพังทลายของชั้นดินทรายด้านหลัง
- การกระจายน้ำหนัก (Reinforcement): เพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง โดยช่วยกระจายน้ำหนักจากวัสดุก่อสร้าง เช่น หินหรือคอนกรีต
- ป้องกันการกัดเซาะ (Erosion Control): ลดการสูญเสียวัสดุที่ใช้ก่อสร้างเนื่องจากแรงน้ำหรือคลื่น
- ลดแรงดันน้ำ (Dewatering): Geotextile สามารถช่วยลดแรงดันน้ำใต้ดิน (Pore Water Pressure) ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพของโครงสร้าง
คุณสมบัติของ Geotextile ที่ควรใช้ในกำแพงกันคลื่นแบบหินเรียงหรือหินทิ้ง
- ความต้านทานแรงดึง (Tensile Strength): เพื่อรับน้ำหนักและแรงดันจากหินหรือแรงคลื่น
- ความสามารถในการกรอง (Permeability): ให้อนุภาคน้ำผ่านได้ แต่ต้องสามารถกรองไม่ให้ดินทรายหลุดผ่านได้
- ความคงทนต่อแรงเฉือน (Shear Strength): เพื่อรองรับแรงที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของวัสดุก่อสร้าง
- ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม (Durability): ทนต่อแสง UV, สารเคมีในน้ำทะเล และจุลินทรีย์ในดิน
- ความยืดหยุ่น (Elongation): ควรมีการยืดหยุ่นเพียงพอเพื่อรองรับการเคลื่อนตัวของดินทราย
- ความหนาแน่น (Mass per Unit Area): ควรเหมาะสมเพื่อการรองรับน้ำหนักหิน
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
- ชนิดของ Geotextile: ทอ (Woven) หรือไม่ทอ (Non-Woven) ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและแรงที่ต้องรับ
- ความหนา (Thickness): เลือกให้เหมาะสมกับน้ำหนักและแรงกระทำ
- อายุการใช้งาน (Lifespan): ต้องประเมินเพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างที่ต้องการความยั่งยืน
การใช้ Geotextile ร่วมกับหินทิ้งหรือหินเรียงจะช่วยสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่งที่มั่นคงและทนทานมากขึ้น โดย Geotextile จะทำหน้าที่เป็นชั้นกรองและป้องกันการกัดเซาะ ในขณะที่หินจะช่วยป้องกันแรงกระทำจากคลื่นและกระแสน้ำ การผสมผสานวัสดุทั้งสองนี้จะช่วยลดพลังงานคลื่นและผลกระทบจากพายุ ทำให้โครงสร้างมีความปลอดภัยและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น กรมเจ้าท่า มักจะกำหนดมาตรฐานของหน่วยงานเพื่อให้ผู้รับเหมาได้เลือกใช้อย่างเหมาะสมกับความต้องการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด