คำพิพากษาคดี อ่าวมาหยา [13ก.ย.2565]
Click ที่ชื่อไฟล์ด้านล่างเพื่อนำสู่เอกสารฉบับเต็ม

Click ที่ชื่อไฟล์ด้านล่างเพื่อนำสู่เอกสารฉบับเต็ม
Beach Lover ได้นำเสนอเรื่องราวของชายหาดมหาราชมาหลายครั้งแล้ว ติดตามได้จาก Search icon มุมขวาบน มาวันนี้ ศาลปกครองสงขลาได้มีคำสั่งยกคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการใดๆเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดีทั้งสาม Click Download เพื่อนำส่งเอกสารฉบับเต็ม
ที่มา: https://www.facebook.com/CommunityresourcecentreThailand/ Beach Lover ได้เคยนำเสนอเรื่องราวของการฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับชายหาดไปแล้วทั้งหมด 7 คดี สามารถติดตามได้จากหมวด คดีชายหาด มาวันนี้ 1 ใน 7 คดีที่ถือได้ว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์ของการฟ้องร้องคดีที่เกี่ยวข้องกับชายหาดคดีแรกของประทศไทยคือ หาดสะกอม จ.สงขลา ได้มีความเคลื่อนไหวครั้งแรกในรอบ เกือบ 10 ปีนับตั้งแต่ศาลปกครองชั้นต้นจังหวัดสงขลาได้มีคำพิพากษาในปี 2555 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ศาลปกครองสูงสุดนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก คดีหมายเลขดำที่ อ.924/2554 ระหว่าง นายสาลี มะประสิทธิ์ ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ผู้ฟ้องคดี กับ กรมเจ้าท่า ที่ 1 ที่ 2 กรมทรัพยากรทางชายฝั่งทางทะเล ที่ 3 ซึ่งเป็นการฟ้องเกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการเขื่อนกันคลื่นและเขื่อนกันทรายบริเวณหาดสะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ที่มีการดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งได้มีการฟ้องคดีต่อศาลปกครองสงขลาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2551 […]
จากข้อมูลสำรวจวันที่ 20 มี.ค.2564 พบว่าสภาพของไม้ที่ปักยังคงอยู่ดีและอยู่ในแนวเดิมตามรูป A และยังพบร่องรอยของทรายหน้าชายหาดถูกเกลี่ยและปรับแต่งให้เรียบร้อย (ไม่ทราบหน่วยงาน) ในตำแหน่งที่กรมโยธาและผังเมืองอ้างว่ามีการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง (ทิศใต้/ทิศเหนือ/ด้านหน้า ของลานปูนซึ่งอยู่ในพื้นที่โครงการเพียงบางส่วน) ซึ่งนั่นหมายความว่า การดำเนินมาตรการป้องกันชายฝั่งแบบชั่วคราวร่วมกับการปรับแต่งหาดทรายให้เรียบร้อยหลังมรสุม นั้นก็เพียงพอแล้วกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากชายหาดถูกกัดเซาะ แม้กระทั่งแนวป้องกันแบบเกเบียนเดิมที่ทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้สร้างไว้เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว และกรมโยธาธิการและผังเมืองได้อ้างว่าชำรุดเสียหายจนเป็นหนึ่งในสาเหตุของการดำเนินโครงการนี้ ณ ชายหาดม่วงงาม จากข้อมูลสำรวจสนามพบว่ายังสามารถป้องกันพื้นที่ชายฝั่งได้ในช่วงมรสุม แม้ไม่ได้สมบูรณ์เหมือนเมื่อครั้งสร้างใหม่ๆ เนื่องจากมีการชำรุดเสียหายไปบ้างตามการใช้งาน พบว่าโดยส่วนมากของเกเบี้ยนเดิมยังคงใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ (รูปที่ B และ C) เพราะหากเสียหาย 100% และป้องกันไม่ได้ ควรจะพบร่องรอยของการซ่อมแซมถนนบ้าง แต่ตามหลักฐานพบว่าไม่มีร่องรอยการซ่อมแซมในพื้นที่โครงการแต่ประการใด (ติดตามได้จาก Link: https://www.youtube.com/watch?v=eBsizPSlqh0) ที่บันทึกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ในหมู่ที่ 7 และ 8 ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการในระยะที่ 1 และระยะที่ 2) หากแม้ว่าโครงสร้างเกเบี้ยนนี้จะมีชำรุดเสียหายไปบ้างตามสภาพการใช้งาน ก็ควรใช้วิธีการซ่อมแซมให้โครงสร้างกลับมาทำหน้าที่ได้อีกครั้ง ด้วยงบประมาณไม่มากมายขนาดที่ต้องใช้เพื่อการสร้างโครงสร้างเขื่อนกันคลื่นแบบขั้นบันได และยังไม่นำพาความเสียหายต่อชายหาดที่ยังคงสมบูรณ์อีกด้วย
ความเสียหายที่เกิดจากการสร้างไม่ได้สัดส่วนกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ พบว่าฐานของโครงสร้างกำแพงกันคลื่นนี้จะจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลตลอดเวลา (สังเกตได้จากเสาเข็มต้นที่อยู่ฝั่งทะเลและแนวถุงทรายตามรูปที่ 7 ในตอนแรก https://beachlover.net/ข้อสังเกต-มหาราช-ตอน1-4/และ ระดับน้ำตามรูปที่ 1 ในโพสนี้) เมื่อน้ำขึ้นจะมีบางส่วนของกำแพงที่อยู่ใต้น้ำเพิ่มเติม และเมื่อโครงสร้างอยู่ในแนวที่น้ำท่วมถึงคลื่นจะวิ่งเข้ามาถึง นั่นหมายถึงโครงสร้างนั้นกำลังรบกวนสมดุลของกระบวนการชายฝั่งทะเล แม้ตามแบบจะปรากฏชัดว่าจะมีการถมทรายกลับทับจนถึงบันไดขั้นที่หก (จากด้านบน) แต่เมื่อคลื่นวิ่งเข้าปะทะทรายที่ถูกถมทับไปบนกำแพงขั้นบันได คลื่นจะค่อยๆชักเอาทรายด้านบนและด้านหน้าบันไดออกไป และเมื่อทรายด้านบนที่ถมทับถูกชักออกไปทั้งหมด คลื่นจะสามารถวิ่งเข้ามาปะทะกำแพงโดยตรงและจะส่งผลให้เกิดคลื่นสะท้อนด้านหน้ากำแพง ยิ่งเหนี่ยวนำให้ทรายด้านหน้ากำแพงถูกดึงออกนอกชายฝั่ง และชายหาดด้านหน้ากำแพงหดหายไปอย่างถาวร แสดงผลกระทบของโครงสร้างกำแพงกันคลื่นดังรูปที่ 2 นอกจากนั้นกำแพงจะยิ่งส่งผลให้ชายหาดส่วนถัดไปจากสุดปลายกำแพงเกิดการกัดเซาะได้เนื่องจากการเลี้ยวเบนของคลื่นและกระแสน้ำ แสดงดังรูปที่ 3 หากใช้มาตรการสร้างกำแพงกันคลื่น จำเป็นต้องสร้างตลอดทั้งแนว มิฉะนั้นพื้นที่ใกล้เคียงที่ปราศจากโครงสร้างป้องกันจะเกิดผลกระทบดังรูปที่ 4 ซึ่งจะยิ่งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น งานป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งโดยใช้โครงสร้างที่ผ่านมาในประเทศไทยนั้น โดยมากเป็นการดำเนินงานเฉพาะพื้นที่ ทั้งที่จริงแล้วชายฝั่งทะเลเป็นเขตติดต่อที่ยาวต่อเนื่องกัน การดำเนินการในพื้นที่ใดย่อมส่งผลกระทบต่ออีกพื้นที่หนึ่งบริเวณใกล้เคียง พบว่าปัญหาการกัดเซาะที่เกิดขึ้นตลอดแนวชายฝั่งทะเลประเทศไทยส่วนใหญ่ต้นเหตุแห่งปัญหามาจากโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง ซึ่งแท้จริงแล้วมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการกัดเซาะ แต่กลับกลายเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาเสียเอง (https://beachlover.net/แก้ปัญหากัดเซาะชายฝั่ง/) ประเทศที่มีดินแดนติดชายฝั่งหลายประเทศ โดยเรียนรู้จากบทเรียนเดิมที่เคยเกิดขึ้นว่า มาตรการใช้โครงสร้างป้องกันชายฝั่งนั้นมีข้อจำกัดทั้งเรื่องงบประมาณที่ต้องใช้เพื่อการก่อสร้างและบำรุงรักษาที่นับวันจะมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ (Luciana S. Esteves, 2014) รวมถึงผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลายเป็นว่ายิ่งสร้างโครงสร้างป้องกันยิ่งจะส่งผลให้ต้องสร้างต่อไปเรื่อยๆ เพราะชายหาดที่ไม่ถูกป้องกันจะถูกกัดเซาะเป็นโดมิโน่ (Domino effect) แนวโน้มของการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในปัจจุบันจึงได้พยายามปรับเปลี่ยนวิธีการ จากการตรึงชายฝั่งให้อยู่กับที่โดยใช้โครงสร้างป้องกัน มาเป็นใช้มาตรการที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียงน้อยที่สุด สำหรับประเทศไทยนั้น หลายหน่วยงานได้ดำเนินโครงการป้องกันชายฝั่งทะเลในหลายพื้นที่ […]
การใช้มาตรการที่เกินจำเป็น โครงการนี้ใช้โครงสร้างป้องกันชายฝั่งขนาดใหญ่วางทับลงไปบนชายหาดที่ไม่เกิดการกัดเซาะที่รุนแรง แม้พบว่าช่วงเวลาที่เคยถูกกัดเซาะนั้นมีอัตราที่รุนแรงจริง (เดือนมีนาคมถึงสิงหาคมของปี 2558 ในรูปที่ 2 อัตราการเปลี่ยนแปลงของชายหาดมหาราช จากตอนที่ 2/4) แต่พบว่าชายหาดฟื้นคืนสภาพกลับมาตามธรรมชาติได้อีกครั้งในปีเดียวกัน นั่นแปลว่าชายหาดเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งตามฤดูกาลเท่านั้น หากเกิดการกัดเซาะอย่างถาวรเราจะไม่พบกระบวนการฟื้นคืนสภาพชายหาดเช่นนี้ และยังพบว่าในภาพรวมตั้งแต่ปี 2556 ถึง 2562 ชายหาดมหาราชระยะทาง 1.9 กิโลเมตรเกิดเปลี่ยนแปลงสุทธิในลักษณะของการทับถมในอัตรา 0.431 เมตรต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นชายหาดที่มีเสถียรภาพ ตามเกณฑ์ที่ระบุไว้โดยกรมทรัพยากรธรณีและยึดถือปฏิบัติมาถึงกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, 2562) นอกจากนั้น จากรูปความเสียหายจนเป็นเหตุจำเป็นให้หน่วยงานต้องดำเนินโครงการป้องกันชายฝั่งบริเวณนี้ตามรูปที่ 4 (ภาพความเสียหายเมื่อ พ.ศ.2558 จากตอนที่ 2/4) พบว่า การกัดเซาะที่ปรากฏนั้นเกิดขึ้นเฉพาะจุด โดยเฉพาะตำแหน่งใกล้ๆกับทางระบายน้ำลงทะเล มิได้เกิดขึ้นตลอดทั้งแนวชายหาดแต่อย่างใด หากเกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุแห่งการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันตลอดทั้งแนวชายหาดจริง เราจะพบการกัดเซาะตลอดทั้งแนวถนนเลียบชายหาด นั่นแปลได้ว่าชายหาดเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงบางตำแหน่งและเฉพาะช่วงระยะเวลาหนึ่งตามฤดูกาลเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นชายหาดในตำแหน่งใกล้ๆกับทางระบายน้ำก็ฟื้นคืนกลับมาในสภาพปกติ สังเกตได้จากสภาพชายหาดที่กลับคืนมาจากภาพ Google street view ตามรูปที่ 3 (ร่องรอยกัดเซาะบนถนนเลียบชายหาดจาก Google street view จากตอนที่ 2/4) ซึ่งถ่ายไว้ 1 […]
วิธีการที่ง่ายและประหยัดที่สุดในยุคนี้ที่จะสามารถศึกษาประวัติการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งได้ในระยะยาวคือการศึกษาจากภาพถ่ายดาวเทียม Google Earth ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายใช้งานสะดวกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากศึกษาจาก Google earth ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2013 (หรือ พ.ศ.2556) จนถึงปี 2019 (หรือ พ.ศ.2562) ณ พื้นที่ชายหาดมหาราช พบการเปลี่ยนแปลงดังรูปที่ 1 ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมลักษณะนี้ แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องของแนวชายฝั่งที่เป็นแนวน้ำตัดกับทราย ที่จะแปรเปลี่ยนไปตามระดับน้ำขึ้นลง หากเราต้องการกำจัดอิทธิพลเรื่องระดับน้ำแตกต่างกันที่ว่านี้ออกไป นิยามของแนวชายฝั่งอีกตัวหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ แนวพืชขึ้นถาวร (Permanent vegetation line) [ศึกษาเพิ่มเติมจาก https://beachlover.net/shoreline-detection/] เมื่อเรามองภาพรวมของหาดมหาราชทั้งสี่ภาพด้านบนจะพบว่า แนวพืชขึ้นถาวร (แนวขอบของหญ้า ผักบุ้งทะเล หรือต้นสน) นั้นไม่มีร่องรอยการเปลี่ยนแปลงที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าบริเวณนี้เผชิญปัญหากัดเซาะชายฝั่งจนต้องสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง นอกจากนั้นยังพบว่ากำแพงกันดินที่ท้องถิ่นเคยสร้างไว้เดิมเพื่อปรับภูมิทัศน์ยังถูกปกคลุมมิดด้วยหญ้าและผักบุ้งทะเล (จากโพสตอนที่ 1/4) นั่นย่อมชี้ให้เห็นว่าชายหาดมีเสถียรภาพต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน เมื่อนำแนวชายฝั่งของแต่ละชุดข้อมูลมาซ้อนทับกันเพื่อวิเคราะห์อัตราการเปลี่ยนแปลง พบว่าชายหาดมหาราชระยะทางตามแนวชายฝั่ง 1.9 กิโลเมตร มีอัตราการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556-2562 (ค.ศ.2013-2019) แสดงดังกราฟรูปที่ 2 จากรูปที่ 2 พบการกัดเซาะในช่วงเดือนมีนาคมถึงสิงหาคมของปี 2558 (ค.ศ.2015) […]
หาดมหาราช หาดทรายชายทะเลที่สงบร่มรื่นและมีความเป็นส่วนตัวมาก หาดทรายขาวน้ำไม่ลึกมากสามารถเล่นน้ำได้ มีชายหาดร่มรื่นด้วยทิวสน มีการจัดแต่งเป็นที่พักผ่อนที่ชมทิวทัศน์ ให้ความสะดวกในการพักผ่อนที่กลมกลืนกับธรรมชาติพอสมควร ด้านหลังแนวหาดเป็นสวนหย่อมและเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ประทับยืนหันหน้าออกสู่ทะเล มีที่พักและร้านอาหารให้บริการนักท่องเที่ยว หาดมหาราชยังมีสภาพชายหาดที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ไม่ปรากฏร่องรอยของการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง สังเกตได้จากพืชที่ขึ้นปกคลุมแสดงให้เห็นถึงความมีเสถียรภาพของชายหาด ชายหาดแห่งนี้เคยมีการสร้างกำแพงกันดินเพื่อปรับภูมิทัศน์ไปแล้วหนึ่งครั้ง (รูปที่ 1) ซึ่งปัจจุบันกำแพงนั้นได้ถูกพืชชายหาดปกคลุมจนเกือบมิด นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ชายหาดแห่งนี้ค่อนข้างเสถียร แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพใดๆ แม้ช่วงที่เกิดพายุซัดฝั่งอย่างพายุปาบึกเมื่อเดือนมกราคม 2562 จากการลงพื้นที่สำรวจก็ไม่ปรากฏร่องรอยของการกัดเซาะชายฝั่ง มีเพียงทรายที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาบนถนนและน้ำที่กระเซ็นข้ามมาด้านในเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชายหาดมหาราชเริ่มมีเสาเข็มจำนวนมากมาวางริมชายหาด มีการปักหมุดเขตการก่อสร้าง เมื่อเดือน พ.ย.2562 (รูปที่ 2) โดยในช่วงเวลานั้นยังไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ หลังจากนั้นไม่ถึง 1 เดือน ได้มีป้ายประชาสัมพันธ์โครงการ (รูปที่ 3) มาวางอยู่ริมชายหาดบริเวณหัวมุมทางเลี้ยวโค้งหน้าร้านอาหารพร้อมกับการลงมือเปิดพื้นที่ทำงานบางส่วน รายละเอียดบนป้ายระบุว่ากำลังจะมีการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นแบบขั้นบันไดยาว 1.102 กิโลเมตร พร้อมปรับภูมิทัศน์โดยทำซุ้มไม้ระแนงอีก 5 แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น 167.2 ล้านบาท โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 2 ปี 1 เดือน คิดเป็น 151.72 ล้านบาท ต่อ […]