ในการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง “หิน” จัดเป็นวัสดุที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องจากหาง่าย มีความแข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อม และมักมีราคาถูกกว่าโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือตัวบล็อกคอนกรีตสำเร็จรูปอื่นๆ ที่มีรูปทรงเฉพาะ (Armour unit)

อย่างไรก็ตาม การเลือกหินมาใช้งานจริงควรคำนึงถึงปัจจัยหลายด้าน โดยคุณสมบัติที่สำคัญของหินสำหรับงานป้องกันชายฝั่ง มีดังนี้
1. ความถ่วงจำเพาะ (Specific Gravity): ควรมีค่าความถ่วงจำเพาะสูง (มากกว่า 2.6 ขึ้นไป) เพื่อช่วยเพิ่มน้ำหนักของชั้นเกราะหิน (Armor layer) ทำให้ต้านทานการเคลื่อนตัวจากแรงปะทะของคลื่นได้ดี
2.ความแข็งแรง และค่าการขัดสี (Durability & Abrasion Resistance): หินต้องแข็งแรง ไม่เปราะแตกง่ายเมื่อได้รับแรงปะทะของคลื่นหรือแรงกดทับจากน้ำหนักของหินก้อนอื่น ๆ ควรผ่านการทดสอบ เพื่อประเมินค่าการสึกกร่อน
3.รูปร่างของหิน (Rock Shape): นิยมใช้หินที่มีผิวค่อนข้าง “เหลี่ยม” หรือ “angular” มากกว่าหินกลม (Rounded) เพราะจะยึดเกาะกันได้ดีและลดการกลิ้งไหลของหินบนลาดผิวได้ดีกว่า หินเหลี่ยมมักจะมี Interlocking ที่ดี ลดโอกาสที่คลื่นจะดึงหรือกัดเซาะออกไปได้ง่าย
4.การดูดซึมน้ำต่ำ (Low Water Absorption): ยิ่งหินดูดซึมน้ำมาก เมื่อสลับกับการแห้ง-เปียก หรือเผชิญภาวะร้อนเย็นบ่อย ๆ หินอาจแตกร้าวหรือผุพังได้ง่ายขึ้น ควรเลือกหินที่มีค่าการดูดซึมน้ำต่ำ
5.ความทนทานต่อสภาพอากาศ (Weathering Resistance): หินบางประเภท เช่น หินปูนเนื้ออ่อนที่เจอน้ำทะเลเป็นระยะเวลานานอาจเกิดการกัดกร่อนทางเคมี จึงควรตรวจสอบชนิดและแหล่งที่มาว่าไม่ผุกร่อนง่าย

แน่นอนว่า โครงสร้างป้องกันชายฝั่งควรเกิดขึ้นยามจำเป็นเท่านั้น และโครงสร้างป้องกันชายฝั่งที่ใช้ “หิน” ก็ควรใช้ยามจำเป็นเช่นกัน โดยหินที่เหมาะสมกับการเรียงเพื่อก่อสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่งโดยทั่วไปควรมีความแข็งแรงสูง รูปร่างเหลี่ยม ความถ่วงจำเพาะมากกว่า 2.6 ขึ้นไป มีค่าดูดซึมน้ำต่ำ และทนต่อการสึกกร่อนจากคลื่นและสภาพอากาศ เช่น หินแกรนิต หินบะซอลต์ โดยต้องตรวจสอบคุณสมบัติผ่านการทดสอบมาตรฐานเพื่อให้มั่นใจในความคงทนยาวนาน และออกแบบวางชั้น (Armor Layer / Core Layer / Filter Layer) ให้ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมชายฝั่งทะเล