ระดับของน้ำใต้ดินริมชายฝั่ง ส่งผลกระทบกับการกัดเซาะชายฝั่งอย่างไร

ระดับน้ำใต้ดินริมชายฝั่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของชายฝั่ง แต่เมื่อระดับน้ำใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะสูงขึ้นหรือลดลงมากเกินไป ก็สามารถส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างมีนัยสำคัญ

1. ระดับน้ำใต้ดินที่สูงขึ้น:

  • ลดความแข็งแรงของชั้นดิน: ลองนึกภาพดินริมชายฝั่งเหมือนกับก้อนอิฐที่วางซ้อนกัน เมื่อช่องว่างระหว่างก้อนอิฐเต็มไปด้วยน้ำ น้ำจะเข้าไปแทนที่อากาศ ทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างก้อนอิฐลดลง ดินก็เช่นกัน เมื่อระดับน้ำใต้ดินสูงขึ้น น้ำจะแทรกซึมเข้าไปในช่องว่างระหว่างอนุภาคดิน ทำให้ดินอ่อนตัวลงและง่ายต่อการถูกคลื่นซัดหรือกระแสน้ำพัดพาไป
  • เพิ่มแรงดันน้ำในโพรงดิน: ดินชายฝั่งมักมีโพรงอากาศอยู่ภายใน เมื่อระดับน้ำใต้ดินสูงขึ้น น้ำจะเข้าไปเติมเต็มโพรงเหล่านี้ ทำให้เกิดแรงดันดันออกจากภายใน หากแรงดันนี้สูงมากพอ อาจทำให้ดินเกิดสภาพคล้ายของเหลว ไหลลงสู่ทะเลได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น แผ่นดินไหวหรือการสั่นสะเทือนจากคลื่นขนาดใหญ่
  • ส่งเสริมการเกิดโพรงดินใต้ผิวดิน: น้ำใต้ดินที่ไหลซึมอยู่ใต้ผิวดินอาจค่อยๆ กัดกร่อนดิน ทำให้เกิดโพรงหรือช่องว่างใต้ดิน เมื่อโพรงเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นและไม่สามารถรับน้ำหนักของดินด้านบนได้ ก็จะเกิดการยุบตัวลง ทำให้พื้นดินบริเวณชายฝั่งทรุดตัวและถูกกัดเซาะได้ง่ายขึ้น
  • ลดประสิทธิภาพของโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะ: โครงสร้างป้องกันการกัดเซาะ เช่น กำแพงกันคลื่น มักถูกออกแบบให้รับแรงจากคลื่นและกระแสน้ำ แต่หากระดับน้ำใต้ดินสูงขึ้น น้ำอาจซึมเข้าไปด้านหลังกำแพง สร้างแรงดันจากด้านใน และทำให้กำแพงเสียหายหรือพังทลายได้ง่ายขึ้น

2. ระดับน้ำใต้ดินที่ลดลง:

  • การทรุดตัวของพื้นดิน: เมื่อมีการสูบน้ำบาดาลมากเกินไป ระดับน้ำใต้ดินจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ชั้นดินที่เคยได้รับการพยุงจากน้ำใต้ดินยุบตัวลง ส่งผลให้พื้นดินบริเวณชายฝั่งทรุดตัวและมีความเสี่ยงต่อการถูกกัดเซาะมากขึ้น

การรักษาระดับน้ำใต้ดินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้งการควบคุมการสูบน้ำบาดาล การจัดการระบบระบายน้ำ และการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการทรัพยากรน้ำใต้ดินอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่งและป้องกันปัญหาการกัดเซาะในระยะยาว