พื้นที่วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่ง หรือ Erosion Hotspot คือ บริเวณแนวชายฝั่งที่มีการเปลี่ยนแปลงของแนวชายหาดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งมักส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งในเชิงสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ พื้นที่เหล่านี้สามารถแสดงถึงปัญหาการกัดเซาะที่เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น คลื่น, กระแสน้ำ, หรือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล รวมถึงผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การพัฒนาชายฝั่งที่ขาดความยั่งยืน

การกำหนดพื้นที่วิกฤติการกัดเซาะชายฝั่ง (erosion hotspot) ในประเทศไทยสามารถดำเนินการได้โดยใช้ขั้นตอนดังนี้:
1. เก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับชายฝั่งทะเล การเก็บข้อมูลพื้นฐานเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญเพื่อให้เข้าใจลักษณะเฉพาะของพื้นที่ชายฝั่ง
- ข้อมูลภูมิประเทศชายฝั่ง:
- แนวชายฝั่ง และการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งย้อนหลัง
- ความลาดชันของชายหาดและพื้นที่ใต้ทะเล
- ขนาดของตะกอนทรายบนชายหาด
- ข้อมูลกระบวนการทางธรรมชาติ:
- ลักษณะคลื่น เช่น ความสูง คาบ และทิศทางของคลื่น
- กระแสน้ำชายฝั่ง และกระบวนการเคลื่อนย้ายตะกอน
- ลมและมรสุมที่ส่งผลต่อคลื่นและการกัดเซาะ
- ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยและการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล
- ข้อมูลกิจกรรมมนุษย์:
- โครงสร้างป้องกันชายฝั่ง เช่น กำแพงกันคลื่น
- ความหนาแน่นของประชากรริมชายฝั่ง
- การเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ดินบริเวณชายฝั่ง (เช่น การก่อสร้างหรือพัฒนาพื้นที่)
เครื่องมือและวิธีการ:
- ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมหรือภาพถ่ายทางอากาศย้อนหลัง (Landsat, Sentinel)
- UAV/Drone เพื่อเก็บข้อมูลภาพในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
- Sieve test เพื่อหาขนาดคละของตะกอนทราย
- ใช้เครื่องมือวัดคลื่นและกระแสน้ำ เช่น Acoustic Doppler Current Profiler (ADCP)
2. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่ง วิเคราะห์อัตราการกัดเซาะและการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งในระยะยาว
- การวิเคราะห์ย้อนหลัง:
- ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและแผนที่ชายฝั่งในอดีต (ย้อนหลัง 10–30 ปี)
- คำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่ง (Shoreline Change Rate) เช่น ใช้เทคนิค Digital Shoreline Analysis System (DSAS)
- การวิเคราะห์อัตราการกัดเซาะ:
- วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งในแต่ละปี (เมตร/ปี)
- คำนวณการสูญเสียพื้นที่ชายหาด (Beach Volume Loss)
ผลลัพธ์: แผนที่แสดงพื้นที่ที่แนวชายฝั่งที่กัดเซาะรุนแรง และ อัตราการเปลี่ยนแปลงในเชิงตัวเลขที่บ่งบอกถึงพื้นที่เสี่ยงสูง
3. กำหนดเกณฑ์สำหรับพื้นที่วิกฤติ พื้นที่ที่ถือว่าเป็น “erosion hotspot” ควรมีการกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจน
- เกณฑ์เชิงปริมาณ:
- อัตราการกัดเซาะมากกว่า XX เมตร/ปี (ขึ้นกับสภาพภูมิประเทศ)
- การสูญเสียพื้นที่ชายหาดมากกว่า Y ตารางเมตรในช่วง Z ปี
- เกณฑ์คุณภาพ:
- พื้นที่ที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชน เช่น หมู่บ้านใกล้ชายฝั่งที่ถูกน้ำกัดเซาะ
- พื้นที่ใกล้โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ถนน โบราณสถาน วัด วัง
- บริเวณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เช่น ป่าชายเลนหรือแนวปะการัง
วิธีการจัดลำดับความสำคัญ: ใช้เกณฑ์หลายปัจจัย (Multi-Criteria Analysis) รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ, สิ่งแวดล้อม และสังคม
4. ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ การใช้แบบจำลองช่วยในการวิเคราะห์เชิงลึกและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต
- แบบจำลองที่ใช้:
- Delft3D: ใช้จำลองการไหลของน้ำและการเคลื่อนที่ของตะกอน
- SWAN: วิเคราะห์คลื่นใกล้ชายฝั่ง
- SBEACH: จำลองกระบวนการการเปลี่ยนแปลงชายหาดระยะสั้นจากพายุ
- MIKE21: จำลองกระแสน้ำ, คลื่น, และการเปลี่ยนแปลงตะกอน
- ข้อมูลที่ต้องการ:
- Bathymetry (ข้อมูลความลึกของพื้นทะเล)
- ข้อมูลระดับน้ำทะเลในอดีตปัจจบันและอนาคต
- ข้อมูลคลื่นลมในอดีตปัจจบันและอนาคต
- ข้อมูลการใช้ที่ดินและโครงสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น
ผลลัพธ์: คาดการณ์พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการกัดเซาะในอนาคต และแผนที่แสดงผลการจำลองในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล

5. การมีส่วนร่วมของชุมชน การรวบรวมข้อมูลจากชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการระบุพื้นที่วิกฤติ
- กิจกรรมที่ทำได้:
- สัมภาษณ์คนในพื้นที่เกี่ยวกับปัญหาการกัดเซาะที่เคยพบ
- ใช้ Citizen Science เพื่อรวบรวมข้อมูลหรือการรายงานจากประชาชนในพื้นที่
- ทำ Workshop เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและข้อมูลเชิงลึก
ตัวอย่างกิจกรรม:
- การติดตั้งสถานีเก็บภาพชายฝั่ง (Beach Snap) เพื่อเก็บภาพต่อเนื่อง
- การสำรวจความเปลี่ยนแปลงโดยใช้แบบสอบถามในชุมชน
6. สร้างฐานข้อมูล การสร้างฐานข้อมูลที่ครอบคลุมช่วยในการติดตามพื้นที่วิกฤติ
- ฐานข้อมูลที่ควรมี:
- แผนที่ GIS ที่ระบุพื้นที่กัดเซาะรุนแรง
- ข้อมูลอัตราการกัดเซาะที่อัปเดตเป็นระยะ
- รายงานสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่วิกฤติ
- การเผยแพร่:
- สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์หรือ Dashboard เพื่อแสดงข้อมูลให้หน่วยงานและประชาชนเข้าถึง
- การรายงานให้กับหน่วยงานรัฐ เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น