พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง (Coastal wetlands) คือพื้นที่เปลี่ยนผ่านระหว่างแผ่นดินแห้งและแหล่งน้ำเปิด ที่มีน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็มท่วมขัง ทั้งแบบถาวรหรือตามฤดูกาล พื้นที่เหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลากหลายชนิด ที่มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพดินที่เปียกชื้น ประเภทของน้ำ และระดับของน้ำท่วมขัง
ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง ได้แก่
- บึงเกลือ (Salt marshes): พบในเขตอบอุ่น มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าที่ทนต่อความเค็ม
- บึงน้ำจืด (Freshwater marshes): พบในเขตอบอุ่นและเขตร้อน มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า พืชล้มลุก และพืชน้ำ
- ทุ่งหญ้าทะเล (Seagrass meadows): เป็นแหล่งหญ้าทะเลที่เจริญเติบโตในน้ำเค็มตื้นๆ
- ป่าชายเลน (Mangrove swamps): เป็นป่าที่ทนต่อความเค็ม พบในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
- ป่าพรุ (Forested swamps): เป็นป่าที่พบในพื้นที่น้ำท่วมขัง มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น
ปากแม่น้ำ (Estuary) เกิดขึ้นบริเวณที่ลุ่มน้ำบรรจบกับมหาสมุทร ทำให้น้ำจืดจากแผ่นดินและน้ำเค็มจากมหาสมุทรไหลมาพบกัน เกิดเป็นระบบนิเวศน์ที่มีพลวัตจากการไหลมาบรรจบกันของกระแสน้ำในแม่น้ำและกระแสน้ำขึ้นน้ำลงของมหาสมุทร ภูมิภาคเหล่านี้อุดมไปด้วยแหล่งอาหารและเป็นที่พักพิงของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด รวมถึงมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ปากแม่น้ำต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบนิเวศ ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำที่เป็นแหล่งน้ำจืดจากแผ่นดินใหญ่ ได้แก่
- การผันน้ำ (เขื่อน): การสร้างเขื่อนกั้นน้ำส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำจืดที่ไหลลงสู่ปากแม่น้ำ
- ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น: การรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสามารถคุกคามชนิดพันธุ์พื้นเมืองและระบบนิเวศ
- มลพิษจากสารอาหาร: สารอาหารส่วนเกินจากปุ๋ยและน้ำเสียทำให้เกิดการเจริญเติบโตของสาหร่ายมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำ
- เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง: พายุ น้ำท่วม และภัยแล้ง ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและหน้าที่ของระบบนิเวศ
- การสูญเสียและความเสื่อมโทรมของถิ่นที่อยู่: การพัฒนาชายฝั่ง การขุดลอก และกิจกรรมของมนุษย์อื่นๆ ทำลายถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต
- จำนวนประชากรปลาและสัตว์ป่าลดลง: เกิดจากการจับปลามากเกินไป มลพิษ และการสูญเสียถิ่นที่อยู่
- สารปนเปื้อนและเชื้อโรค: สารพิษจากอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และครัวเรือน ปนเปื้อนในน้ำและดิน
- น้ำฝนชะล้าง: พัดพาตะกอน สารอาหาร และมลพิษจากพื้นที่โดยรอบลงสู่ปากแม่น้ำ
- ภัยแล้ง: ทำให้ปริมาณน้ำจืดลดลงและความเค็มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสมดุลของระบบนิเวศ
พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งและปากแม่น้ำมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจของประเทศ ไม่เพียงแต่เป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ๆ และชุมชนชายฝั่งมากมาย แต่ยังทำหน้าที่เป็นเสมือน “ไต” ของชายฝั่ง คอยกรองของเสียและสารพิษต่างๆ ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่ง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คน

ลองนึกภาพพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งเป็นด่านหน้า คอยปกป้องชุมชนจากภัยธรรมชาติ รากของพืชในพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยยึดเกาะดิน ลดแรงปะทะของคลื่นและกระแสน้ำ ช่วยลดความเสียหายจากพายุและน้ำท่วม ขณะเดียวกัน ปากแม่น้ำก็เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นทั้งแหล่งอาหาร ที่หลบภัย และแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ มีส่วนสำคัญต่ออุตสาหกรรมประมง
นอกจากนี้ พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งยังทำหน้าที่เป็น “ฟองน้ำธรรมชาติ” ช่วยดูดซับน้ำฝน ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และช่วยควบคุมปริมาณน้ำ ในขณะที่ปากแม่น้ำเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นนกน้ำ ปลา หอย ปู และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชน
ที่สำคัญ พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งและปากแม่น้ำยังมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยช่วยกักเก็บคาร์บอน ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ
ด้วยเหตุนี้ การอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งและปากแม่น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาระบบนิเวศ ส่งเสริมเศรษฐกิจ และรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ