การเคลื่อนที่ของตะกอนบริเวณชายฝั่งทะเลเป็นกระบวนการที่มีพลวัต ซึ่งตะกอนทรายและตะกอนโคลนแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะและรูปแบบการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกัน โดยมีปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพล ดังนี้

(ปรับปรุงจาก Reeve, Chadwick and Fleming, 2004)
ขนาดและน้ำหนักของตะกอน: ตะกอนทรายซึ่งมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากกว่า จำเป็นต้องอาศัยพลังงานจากคลื่นหรือกระแสน้ำในระดับสูงจึงจะเกิดการเคลื่อนที่ ในขณะที่ตะกอนโคลน ด้วยคุณสมบัติของขนาดที่เล็กและน้ำหนักเบา จึงสามารถเคลื่อนที่ไปกับกระแสน้ำได้อย่างง่ายดาย แม้ในสภาวะที่พลังงานจากคลื่นและกระแสน้ำอยู่ในระดับต่ำ

รูปแบบการเคลื่อนที่: ลักษณะการเคลื่อนที่ของตะกอนทราย โดยทั่วไปมักเป็นการเคลื่อนที่แบบกลิ้งหรือกระโดด (bed load transport) ไปตามพื้นท้องทะเล ภายใต้อิทธิพลของคลื่นและกระแสน้ำ ในทางตรงกันข้าม ตะกอนโคลน ด้วยคุณสมบัติที่สามารถแขวนลอยในมวลน้ำได้ จึงมักเคลื่อนที่ในลักษณะของการพัดพาแบบแขวนลอย (suspended load transport) ซึ่งตะกอนจะถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำในระยะทางไกล

ที่มา: https://www.coastalwiki.org/wiki/Dynamics_of_mud_transport
ปัจจัยควบคุมอื่นๆ: นอกเหนือจากขนาดและน้ำหนัก การเคลื่อนที่ของตะกอนยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยร่วมอื่นๆ ได้แก่
- ความรุนแรงของคลื่นและกระแสน้ำ: คลื่นที่มีความรุนแรงสูง เช่น คลื่นที่เกิดจากพายุ มีศักยภาพในการพัดพาตะกอนทรายในปริมาณมาก และทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งในระดับสูง
- ลักษณะภูมิประเทศ: ภูมิสัณฐานชายฝั่ง เช่น ความลาดชันของชายหาด มีบทบาทสำคัญในการควบคุมรูปแบบและอัตราการเคลื่อนที่ของตะกอน
- สิ่งกีดขวาง: โครงสร้าง เช่น กำแพงกันคลื่น อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของตะกอน โดยอาจเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่ หรือ ก่อให้เกิดการสะสมของตะกอนในบริเวณเฉพาะ
การศึกษาพลวัตการเคลื่อนที่ของตะกอนชายฝั่ง ไม่เพียงแต่ช่วยให้เข้าใจถึงกระบวนการทางธรณีสัณฐานวิทยาและการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง แต่ยังเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการวางแผนการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง การป้องกันการกัดเซาะ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่งอย่างยั่งยืน