Coastal squeeze เพราะชายหาดถูกตรึง?

Coastal squeeze หมายถึงกระบวนการที่ที่อยู่อาศัยบริเวณชายฝั่ง (โดยเฉพาะพื้นที่ระหว่างน้ำขึ้นน้ำลง เช่น ที่ลุ่มน้ำเค็มหรือป่าชายเลน) สูญเสียไปเนื่องจากขอบเขตด้านบนถูกตรึงไว้ด้วยโครงสร้างป้องกันชายฝั่งหรือที่ดินสูง และขอบเขตด้านล่างเคลื่อนเข้าหาฝั่งเพราะระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งจะพยายามเคลื่อนที่ร่นขึ้นที่สูง แต่หากด้านฝั่งถูกขวางด้วยกำแพงกันคลื่น เขื่อนหรือโครงสร้างถาวรอื่น ๆ พื้นที่ระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงจะถูก “บีบ” จนแคบลงหรือหายไป ซึ่งก็คือ ปรากฏการณ์ coastal squeeze นั่นเอง

แนวคิดนี้เริ่มใช้ในสหราชอาณาจักรช่วงปลายทศวรรษ 1980 เพื่ออธิบายการสูญเสียพื้นที่สลับน้ำขึ้นน้ำลงหน้าสิ่งปลูกสร้างชายฝั่ง และปัจจุบันกลายเป็นประเด็นสำคัญในการจัดการพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก Pontee (2013) ได้เสนอคำจำกัดความอย่างชัดเจนว่า “coastal squeeze เป็นรูปแบบหนึ่งของการสูญเสียที่อยู่อาศัยชายฝั่ง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ระหว่างน้ำขึ้นน้ำลงสูญเสียไปเนื่องจากระดับน้ำสูงสุดถูกตรึงด้วยโครงสร้างชายฝั่ง (เช่น กำแพงริมทะเล) ในขณะที่ขอบเขตน้ำลงเคลื่อนเข้าฝั่งเพราะระดับทะเลที่สูงขึ้น” กลไกนี้ชี้ว่าโครงสร้างป้องกันชายฝั่งทะเลที่ประชิดกับชายฝั่ง สามารถ “ตรึง” ชายฝั่งด้านบนไว้ ทำให้เมื่อทะเลหนุนสูง พื้นที่ชุ่มน้ำไม่สามารถย้ายขึ้นฝั่งตามได้ และท้ายที่สุดจะถูกน้ำท่วมทำลายหรือเสื่อมโทรมลงไปเรื่อยๆ

ที่มา: https://www.open.edu/openlearn/nature-environment/environmental-studies/managing-coastal-environments/content-section-0/?printable=1

ปรากฏการณ์ coastal squeeze ก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญต่อระบบนิเวศชายฝั่งหลายประเภททั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเค็ม (saltmarsh), ป่าชายเลน (mangrove) หรือพื้นที่ชายเลนที่น้ำลง (tidal flats) เนื่องจากสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศเหล่านี้ต้องอาศัยพื้นที่ระหว่างระดับน้ำทะเลขึ้น-ลงที่เหมาะสม การถูกบีบพื้นที่จึงนำไปสู่การเสื่อมโทรมหรือสูญเสียถิ่นที่อยู่อย่างกว้างขวาง

โครงสร้างป้องกันชายฝั่งที่มนุษย์สร้าง แม้จะมีประโยชน์ในการลดการกัดเซาะในพื้นที่จำเพาะ แต่ก็มี บทบาทซ่อนเร้นในการเร่งให้เกิด coastal squeeze ด้วยเช่นกัน เช่น กำแพงริมชายฝั่ง (seawall) จะป้องกันไม่ให้ชายหาดหรือพื้นที่ชุ่มน้ำด้านหลังมันขยับขึ้นฝั่ง เมื่อทะเลหนุนสูงชายหาดหน้ากำแพงจึงถูกกัดเซาะแคบลงเรื่อยๆ หรืออาจหายไปในที่สุด ในทางกลับกัน หากไม่มีสิ่งกีดขวางดังกล่าว พื้นที่ทรายหรือชุ่มน้ำอาจสามารถเคลื่อนขึ้นฝั่งและดำรงอยู่ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

การพัฒนาแนวป้องกันที่ขาดความยืดหยุ่นนี้ ยังส่งผลข้างเคียงต่อระบบนิเวศและชุมชนมนุษย์ เช่น กรณีศึกษาจากพายุเฮอริเคน Katrina (ปี 2005) ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา พบว่าระบบเขื่อนดินและกำแพงกั้นน้ำหลายแห่ง กลายเป็นอุปสรรคขวางไม่ให้น้ำท่วมไหลกลับสู่ทะเล หลังพายุสงบ ทำให้น้ำท่วมขังในเมืองนานขึ้นและสร้างความเสียหายมากขึ้นกว่าที่คาด กรณีนี้สะท้อนว่าการพึ่งพาโครงสร้างทางวิศวกรรมอย่างเดียวอาจก่อปัญหาใหม่ และยิ่งย้ำความจำเป็นของแนวทางที่ผสานระหว่างการป้องกันชายฝั่งกับการรักษาธรรมชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก “น้ำทะเลหนุนสูงขึ้น” + “ที่ดินถูกตรึง” = การสูญเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้