Coastal flooding หมายถึงปรากฏการณ์ที่ระดับน้ำทะเลหรือน้ำในบริเวณชายฝั่งสูงกว่าระดับปกติ จนทำให้เกิดการท่วมพื้นที่ชายฝั่งหรือพื้นที่ต่ำใกล้ชายฝั่ง
Beach Lover ได้เคยนำเสนอเรื่องราวที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ Coastal flooding มาแล้ว เช่น น้ำท่วมชายฝั่งปานาเระ ปัตตานี นอกจากนี้ยังได้เล่ามุมมองทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง เช่น STOC MODEL สำหรับงานศึกษา Storm surge และ ปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลยังไง อ่านเพิ่มเติมได้จาก Search icon โดยระบุคำว่า “Coastal flooding” และ “น้ำท่วมชายฝั่ง”

approaches_of_historical_extreme_storm_events_based_on_sedimentological_archives
Coastal flooding อาจเกิดจาก
- พายุ: โดยเฉพาะพายุหมุนเขตร้อนหรือพายุไต้ฝุ่น ซึ่งทำให้ความกดอากาศลดลงและลมพัดแรง เกิดการยกระดับของระดับน้ำทะเลหรือคลื่นสูงผิดปกติ จนท่วมชายฝั่ง
- ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น: จากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เกิดพร้อมกับเหตุการณ์พายุหรือคลื่นยกตัว ก็จะยิ่งทำให้เกิดน้ำท่วมชายฝั่งได้ง่ายขึ้น
- ปัจจัยทางธรณีสัณฐาน: เช่น การทรุดตัวของแผ่นดิน พื้นที่ชายฝั่งที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ หรือมีชายฝั่งที่เอื้อต่อการเกิดน้ำท่วม เช่น บริเวณปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน
- Wave run-up: หรือการซัดของคลื่นที่สูงผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดพร้อมกับน้ำขึ้นสูง ทำให้ระดับน้ำทะเลท่วมสูงกว่าแนวชายฝั่ง
วิธีการประเมิน Coastal flooding โดยทั่วไป การประเมินหรือวิเคราะห์โอกาสและผลกระทบของการเกิดน้ำท่วมชายฝั่งจะมีขั้นตอนหรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้
1. รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน (Data Collection)
- ข้อมูลภูมิประเทศและภูมิศาสตร์ (Topography & Bathymetry)
- แผนที่แสดงระดับความสูงของพื้นที่ชายฝั่งหรืองานสำรวจระดับความลึกของทะเล ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
- ข้อมูลสมุทรศาสตร์ (Oceanographic data)
- ข้อมูลสถิติน้ำขึ้นน้ำลง ข้อมูลทิศทางและความสูงคลื่น ข้อมูลกระแสน้ำ
- ข้อมูลสภาพอากาศ (Meteorological data)
- ข้อมูลความถี่และความรุนแรงของพายุ สถิติน้ำฝน ปริมาณน้ำหลากจากแม่น้ำ (ถ้ามีพื้นที่ติดปากแม่น้ำ)
- ข้อมูลแนวโน้มในอนาคต (Climate change projection)
- คาดการณ์ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงความถี่และความรุนแรงของพายุ
2. การสร้างแบบจำลอง (Modeling)
เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมชายฝั่ง มักจะใช้แบบจำลองเชิงตัวเลขหลายแบบผสมผสานกัน ขึ้นอยู่กับขนาดและความละเอียดที่ต้องการ ได้แก่
- แบบจำลองคลื่นและระดับน้ำทะเล (Storm Surge Model / Wave Model)
- แบบจำลองการท่วมพื้นที่ (Flood Inundation Model)
- หลังได้ข้อมูลระดับน้ำทะเลหรือระดับคลื่นสูงสุดมาแล้ว จะนำมาประมวลกับข้อมูลภูมิประเทศ (DEM) เพื่อวิเคราะห์ว่าน้ำจะท่วมพื้นที่ต่ำบริเวณไหนบ้าง ใช้โปรแกรมอย่างเช่น HEC-RAS, Delft3D หรือ MIKE Flood เป็นต้น
- Integrated Coastal Process Model
- หากโครงการใหญ่ อาจมีการใช้แบบจำลองบูรณาการที่คำนึงถึงกระบวนการตะกอนชายฝั่ง เพื่อประเมินผลระยะยาว เช่น การกัดเซาะชายฝั่งหรือการเปลี่ยนแปลงสัณฐานชายหาด
3. การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)
หลังจากได้ผลการจำลองระดับน้ำท่วมหรือพื้นที่เสี่ยงต่อการท่วมแล้ว จะทำการประเมินความเสี่ยง โดยพิจารณาองค์ประกอบสองอย่างคือ
- โอกาสหรือความถี่ในการเกิด
- วัดจากสถิติเหตุการณ์ในอดีตและการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (เช่น อาจพูดถึงโอกาส 1-in-100 year หรือ 1%)
- ผลกระทบ
- ประเมินจากมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานที่จะได้รับความเสียหายหากเกิดน้ำท่วม
โดยในระดับการจัดการความเสี่ยงมักจะมีการทำ Hazard Map หรือ Flood Risk Map เพื่อแสดงพื้นที่ความเสี่ยงสูง (High risk) พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง (Medium risk) และพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ (Low risk)
4. การประเมินผลกระทบ (Impact Assessment)
นอกจากการวิเคราะห์ผลทางกายภาพของน้ำท่วมแล้ว ยังต้องประเมินผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น ผลต่อประชากรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ผลต่อระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน แนวปะการัง ความเสียหายของโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน สะพาน ท่าเรือ ระบบบำบัดน้ำเสีย ฯลฯ) บางกรณีอาจต้องวิเคราะห์ Risk-cost-benefit เพื่อเปรียบเทียบว่าการลงทุนป้องกัน เช่น การสร้างคันกันน้ำ หรือฟื้นฟูสภาพชายฝั่งแบบธรรมชาติ (Nature-based solutions) คุ้มค่าหรือไม่ เมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

แนวทางเสริมในการประเมิน
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- เนื่องจากการแก้ปัญหาน้ำท่วมชายฝั่งต้องอาศัยหลายภาคส่วน ควรมีการปรึกษาและรับฟังความเห็นจากชุมชน ท้องถิ่น ผู้กำหนดนโยบาย และนักวิชาการ
- ใช้ข้อมูลดาวเทียมและ GIS
- ข้อมูลเชิงพื้นที่จากดาวเทียมและการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (GIS) จะช่วยให้เห็นภาพรวมของพื้นที่เสี่ยงได้ดี
- การจำลองสถานการณ์ในระยะยาว
- ควรประเมินหลายกรณีหรือหลายสถานการณ์ (เช่น Sea Level Rise 0.5 m, 1.0 m, 1.5 m ภายในอีก 50-100 ปี) เพื่อวางแผนรับมือได้อย่างรอบด้าน

โดยสรุปแล้ว Coastal flooding คือการท่วมของพื้นที่ชายฝั่งอันเกิดจากระดับน้ำทะเลหรือคลื่นที่สูงผิดปกติ ไม่ว่าจะเกิดจากพายุ น้ำทะเลหนุนสูง หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประเมินน้ำท่วมชายฝั่งต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลภูมิประเทศและสมุทรศาสตร์ การใช้แบบจำลองเชิงตัวเลขเพื่อจำลองคลื่น พายุ และการไหลของน้ำ รวมถึงการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันและบริหารจัดการความเสี่ยงจากน้ำท่วมชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ