รมว.วราวุธ ย้ำแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งต้องคุ้มค่า ลดปัญหาพื้นที่ข้างเคียง

ที่มา: https://www.facebook.com/DMCRTH

วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวว่า ตนได้รับทราบสรุปรายงานสถานการณ์พื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย ช่วงปี ๒๕๖๒ มีระยะทางรวม ๙๑.๖๙ กม. มีพื้นที่ที่กัดเซาะรุนแรงที่ต้องการแก้ไขเร่งด่วนระยะทาง ๑๒.๘๗ กม. ซึ่งส่วนมากมีสาเหตุมาจากกิจกรรมมนุษย์และผลกระทบที่เกิดจากโครงสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งที่ได้ดำเนินก่อสร้างแล้ว แต่ส่งผลต่อพื้นที่ข้างเคียงซึ่งในหลายพื้นที่ก็กลายเป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชน

นายวราวุธ กล่าวอีกว่า อย่างกรณีการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล บริเวณพื้นที่ชายฝั่งหาดม่วงงาม ที่เครือข่ายประชาชนรักษ์หาดม่วงงาม เรียกร้องให้หยุดดำเนินการ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่ประสบปัญหาการกัดเซาะ ซึ่งศาลปกครองจังหวัดสงขลาให้มีคำสั่งให้หยุดดำเนินการชั่วคราวเพื่อศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นก่อน ซึ่งตนได้สั่งการให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับและสั่งการให้หน่วยงานเร่งสำรวจและกำหนดแนวทางมาตรการการแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลของการพัฒนาและการอนุรักษ์

“ระบบนิเวศทางธรรมชาติถูกออกแบบโดยสร้างความสัมพันธ์ทุกอย่างไว้อย่างลงตัว และธรรมชาติได้กำหนดทิศทางและความเป็นไปทุกอย่างไว้แล้ว มนุษย์ที่มีหน้าที่สร้างและรักษาความสมดุล ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนแปลงความสมดุล การแก้ไขปัญหาไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การแก้ไขปัญหาที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่างหากที่ผิด”

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าการก่อสร้างโครงสร้างเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะเกิดจากความตั้งใจดีของหน่วยงานที่ต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ แต่ต้องขอให้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น หรือความจำเป็น และความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ด้วย และสิ่งสำคัญที่ตนอยากฝากไว้ คือ การมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนได้เข้ามาร่วมคิดร่วมทำในขั้นตอนต่างๆ จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจและความร่วมมือร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานต่างๆ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี

ด้านนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส.กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่ง ทส.โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เป็นหน่วยงานที่กำกับในเชิงนโยบายและนำเสนอมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยที่ผ่านมาได้เสนอคณะกรรมการนโยบายและแผนบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการแบ่งระบบกลุ่มหาด จำนวน 8 กลุ่มหาดหลัก และระบบหาดย่อย 318 ระบบหาด ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งสามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบทั้งชีวิต ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และสมดุลระบบนิเวศ

นายจตุพร เผยอีกว่า ตนได้ย้ำทาง ทช.ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในทุกพื้นที่ หากพบว่ากิจกรรมหรือโครงการใดอาจก่อให้เกิดปัญหากัดเซาะชายฝั่ง ให้อาศัยอำนาจตามมาตรา ๒๑ หรือ ๑๗ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.๒๕๕๘ ทันที เพื่อระงับและป้องกันปัญหาก่อนที่จะสร้างผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและระบบนิเวศอื่นๆ ข้างเคียง

ในส่วนของกรม ทช. อธิบดีโสภณ ทองดี กล่าวว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ทาง ทช. ได้เสนอแนวทางและมาตรการในการแก้ไปปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ได้รับความเห็นชอบต่อแนวทางดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑ ซึ่งได้กำหนดมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสีขาว-การปล่อยฟื้นฟูตามธรรมชาติ (๒) มาตรการสีเขียว-การปลูกป่าและใช้วัสดุธรรมชาติ และ (๓) มาตรการสีเทา-การใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม อย่างไรก็ตาม พี่น้องประชาชนสามารถตรวจสอบสถานการณ์และสถานภาพชายฝั่งทะเลของประเทศไทยได้จากระบบฐานข้อมูลเชิงพื้นที่การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทย ซึ่งกรม ทช.ได้ร่วมกับ GISTDA จัดทำขึ้น โดยเข้าไปตรวจสอบผ่านทางระบบฐานข้อมูลกลางและมาตรฐานข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในหน้าเว็บไซต์ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งนี้ กรมอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบให้สามารถตรวจสอบได้ทาง Mobile Application ซึ่งจะสามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังสามารถรายงานปัญหาด้านการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ได้อีกด้วย โดยคาดว่าระบบดังกล่าวจะสามารถใช้งานได้ภายในปี ๒๕๖๔