พืชทนเค็มในป่าชายหาด

ป่าชายหาดมีความสำคัญต่อการกัดเซาะชายฝั่งอย่างมาก โดยทำหน้าที่เป็นกำแพงกันลมกันคลื่นตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยรักษาทรายไม่ให้ถูกพัดออกสู่ทะเล รากของพืชในป่าชายหาดช่วยยึดทรายและลดการสูญเสียพื้นที่ชายฝั่ง นอกจากนี้ป่าชายหาดยังช่วยลดแรงลมทะเลที่เข้ามาในพื้นที่ภายใน ทำให้ระบบนิเวศชายฝั่งมีความสมดุลและสามารถสนับสนุนการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ได้ดีขึ้น ป่าชายหาดมีพืชหลายชนิดที่สามารถทนเค็มได้ ซึ่งพืชเหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยให้สามารถเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีความเค็มสูงและได้รับอิทธิพลจากลมทะเลและคลื่นน้ำทะเล โดยพืชที่พบในป่าชายหาด ได้แก่: การดูแลไม้ในป่าชายหาดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง โดยมีแนวทางการดูแลที่สำคัญดังนี้: พืชเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ยังสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศของป่าชายหาดอีกด้วย การดูแลรักษาป่าชายหาดไม่เพียงแต่ช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่ยังส่งผลดีต่อระบบนิเวศและชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงด้วย

Beachlover

December 30, 2024

สนทะเล…ดีหรือไม่กับชายหาด

ต้นสนทะเล (Casuarina equisetifolia) เป็นไม้กลางแจ้ง ที่เจริญเติบโตได้ในดินร่วนซุย มีความชื้นหรือเป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี โดยสามารถเจริญเติบโตได้ดีตั้งแต่ในพื้นดินที่มีระดับต่ำเท่ากับระดับน้ำทะเลไปจนถึงพื้นที่ที่มีความสูงถึง 1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยมักพบขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลเป็นส่วนมาก (https://kubiodiversity.ku.ac.th/) ระบบรากของต้นสนทะเลมีลักษณะพิเศษคือ รากแผ่กระจายในแนวราบและแนวดิ่ง ช่วยยึดเกาะดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างโครงข่ายรากที่แน่นหนาภายในระยะ 1-2 เมตรจากโคนต้น ลดอัตราการพังทลายของดินได้มากถึง 50-70% ในพื้นที่ชายฝั่ง คุณสมบัติทางสรีระวิทยาที่สำคัญคือ มีต่อมขับเกลือพิเศษบนใบ สามารถทนความเค็มได้สูง ใบมีลักษณะเรียวเล็ก ลดการคายน้ำในสภาพอากาศร้อน ระบบรากสามารถดูดซึมน้ำและธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนทะเลยังมีความสามารถในการเติบโตได้ดีในดินทรายที่มี pH 5.5-7.5 ทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 40-45 องศาเซลเซียส ต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดี ต้นสนทะเล (Casuarina equisetifolia) มีทั้งผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบต่อชายหาดและระบบนิเวศริมหาด สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้: ผลกระทบเชิงบวก 1. การป้องกันการพังทลายของชายหาด 2. การให้ร่มเงาและลดอุณหภูมิ 3. การฟื้นฟูระบบนิเวศ ผลกระทบเชิงลบ 1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างชายหาด 2. ผลกระทบต่อพันธุ์ไม้ท้องถิ่น 3. ความเป็นกรดของดิน

Beachlover

December 23, 2024

มาตรการแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน

Beach Lover ได้เคยนำเสนอแนวคิดเรื่อง การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based solutions for coastal erosion) ไปแล้วในอดีต ติดตามได้จากโพส https://beachlover.net/nature-based-solutions/ ครั้งนี้ขอลงรายละเอียดด้านมาตรการที่ใช้เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น การกัดเซาะชายฝั่งเป็นปัญหาที่สำคัญในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่ง การใช้ “ธรรมชาติเป็นฐาน” ในการแก้ไขปัญหานี้ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากวิธีการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ลดการกัดเซาะ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพและให้ประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based solutions for coastal erosion) คือการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธรรมชาติ หรือการเลียนแบบกระบวนการทางธรรมชาติ เพื่อลดผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่ง วิธีการนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน หญ้าทะเล แนวปะการัง และเนินทราย ซึ่งเป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นและกระแสน้ำ รวมถึงช่วยดักจับตะกอน ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับชายฝั่งอย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based solutions for coastal erosion) เป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในการปกป้องและฟื้นฟูชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะ แทนที่จะใช้โครงสร้างแข็ง เช่น เขื่อนกันคลื่นหรือกำแพงกั้นทะเล วิธีนี้จะเน้นการฟื้นฟูหรือเสริมสร้างระบบนิเวศธรรมชาติที่มีอยู่ เพื่อให้ช่วยลดแรงคลื่นและการกัดเซาะชายฝั่งโดยธรรมชาติ แนวทางการแก้ไขโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในต่างประเทศ การใช้ธรรมชาติเป็นฐานเพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย

Beachlover

October 23, 2024

แปลงปลูกต้นไม้ชายหาด อุทยานปราณบุรี

“ป่าชายหาด” คือ พื้นที่รอยต่อระหว่างทะเลกันป่าดิบแล้งตามชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง ชายหาดเป็นกรวดทรายและโขดหินเป็นแนวกว้าง เช่น ตามเกาะต่างๆในทะเลของไทย ทั้งบริเวณในเขตอ่าวไทยและอันดามัน ดินค่อนข้างเค็มเนื่องจากมีไอเค็มจากฝั่งทะเลพัดเขาถึง สภาพป่าจะผิดแผกไปจากป่าพรุ ป่าบึงน้ำจืด และป่าชายเลน หรือป่าเลนน้ำเค็มโดยสิ้นเชิง ความชุ่มชื้นและปุ๋ยอินทรีย์ในดินมีน้อยมาก สังคมพืชโดยถือเอาความสูงเป็นเกณ์แบ่งได้ 3 ชั้น พันธุ์ไม้หลัก มีสนทะเล กระทิงหรือสารภีทะเล และหูกวางเป็นหลัก “ป่าชายหาด” นับเป็นป่าสังคมหนึ่งของป่าดิบ มีปริมาณฝนระหว่าง 1,500-4,000 มม/ปี และพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 50 เมตร ปริมาณพื้นที่ของป่าชนิดนี้ยังไม่อาจประเมินได้ แต่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ป่าประเภทอื่นในประเทศไทย (อ่านเพิ่มเติมได้จาก วารสารราชบัณฑิต) แนวคิดการปลูกป่าชายหาดเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งทะเล เนินทรายชายฝั่ง เพื่อเป็นปราการทางธรรมชาติป้องกันคลื่นลมนั้นเริ่มปรากฏให้เห็นในระยะหลังๆที่สังคมเริ่มมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง Eco-friendly มากขึ้น มีการเริ่มตระหนักว่า ความสมบูรณ์ของป่าชายหาดอาจทดแทนโครงสร้างป้องกันชายฝั่งอย่างกำแพงกันคลื่นได้ ตัวอย่างเช่นโครงการ การพัฒนาแนวทางการปลูกป่าชายหาดด้วยหลักการป่านิเวศ (Eco-forest) เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล การกัดเซาะชายฝั่ง และพายุซัดฝั่ง ณ ชายหาดชลาทัศน์ จ.สงขลา ปลูกป่าชายหาดเสริมความมั่นคง ป่าปลายแหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช Beach Lover ขอพาชมแปลงปลูกป่าชายหาด ณ วนอุทยานปราณบุรี หรือ […]

Beachlover

January 31, 2024

ปลายแหลมตาชี มีอะไร ?

แหลมตาชีหรือแหลมโพธิ์ สัญลักษณ์ที่สำคัญของชายฝั่งทะเลจังหวัดปัตตานี ณ ที่แห่งนี้ตะกอนทรายที่เดินทางเลียบชายฝั่งมาตั้งแต่ปากแม่น้ำโกลกจะเคลื่อนที่มาสะสม เติมเต็มให้แหลมตาชีงอกยื่นยาวออกไปเรื่อยๆ โดยฝั่งซ้ายหรือทิศใต้ของปลายแหลมเป็นป่าชายเลนในอ่าวปัตตานี ส่วนฝั่งขวาหรือทิศเหนือเป็นป่าชายหาดและทะเลฝั่งอ่าวไทย Beach Lover พาชมปลายสุดแหลมตาชีในมุมสูง ซึ่งเผยให้เห็นป่าชายหาด ป่าชายเลน ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทั้งสองฝั่งของปลายแหลม นักวิชาการบางสำนักชี้ว่า ปลายแหลมนี้กำลังค่อยๆโค้งเข้าไปปิดปากอ่าวปัตตานีในอนาคต ในขณะที่บางสำนักชี้ว่า โอกาสเกิดแบบนั้นน่าจะมีความเป็นไปได้น้อยตราบเท่าที่ยังมีน้ำไหลออกจากปากแม่น้ำปัตตานี เรื่องราวนี้คงจะได้พิสูจน์โดยใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์กันด้วยหลักเหตุผลได้อย่างไม่ยากเย็นนัก … รอติดตามต่อไป

Beachlover

September 5, 2020