เราวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยจาก storm surge กันอย่างไร

Storm Surge (พายุซัดฝั่ง) คือ ปรากฏการณ์ที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างผิดปกติ อันเนื่องมาจากแรงกดอากาศต่ำและลมกระโชกแรงจากพายุหมุนเขตร้อน เช่น พายุไซโคลน, เฮอริเคน, และไต้ฝุ่น ปรากฏการณ์นี้สามารถนำไปสู่น้ำท่วมชายฝั่งที่รุนแรง สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งที่มีประชากรหนาแน่น

กลไกการเกิด Storm Surge (พายุซัดฝั่ง) เกิดจากการลดลงของความกดอากาศและแรงลมที่ผลักดันน้ำทะเลเข้าหาชายฝั่ง ถึงแม้ว่ากลไกจะไม่ซับซ้อน แต่ผลกระทบของคลื่นพายุซัดฝั่งสามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง คร่าชีวิตผู้คนนับพันและสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลในเหตุการณ์เดียว

ความเสี่ยงของ Storm Surge (พายุซัดฝั่ง) เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของไหล่ทวีป, ปฏิสัมพันธ์ของน้ำขึ้นน้ำลง, และความเร็วลมของพายุ ซึ่งส่งผลต่อขอบเขตและความรุนแรงของน้ำท่วมชายฝั่ง

แบบจำลองทางอุทกพลศาสตร์แบบดั้งเดิมที่ใช้ในการทำนาย Storm Surge (พายุซัดฝั่ง) เช่น แบบจำลอง FVCOM และ ADCIRC มีความแม่นยำสูง แต่ต้องใช้การประมวลผลมากและใช้เวลานาน เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ มีการพัฒนาแบบจำลองใหม่ๆ เช่น HCA-FM และแบบจำลองสำรองต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณและความเสถียร ในขณะที่ยังคงความแม่นยำในการทำนายขอบเขตและความลึกของน้ำท่วม

การวิเคราะห์ความเสี่ยงจาก Storm Surge (พายุซัดฝั่ง) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมและลดผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  1. การประเมินอันตราย (Hazard Assessment):
    • การสร้างแบบจำลอง Storm Surge: เป็นการใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนเพื่อจำลองสถานการณ์พายุที่อาจเกิดขึ้น โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วลม, ความกดอากาศ, เส้นทางพายุ, และสภาพภูมิประเทศ เพื่อประเมินความสูงของคลื่น, ทิศทางการเคลื่อนตัว, และพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น แบบจำลอง SLOSH (Sea, Lake, and Overland Surges from Hurricanes) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการจำลอง Storm Surge ในสหรัฐอเมริกา
    • การวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์: การศึกษาข้อมูลพายุในอดีต เช่น ความถี่, ความรุนแรง, และผลกระทบที่เกิดขึ้น ช่วยให้เราเข้าใจรูปแบบและแนวโน้มของ Storm Surge ในพื้นที่นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาข้อมูลพายุในอ่าวไทยพบว่า Storm Surge มักเกิดขึ้นพร้อมกับพายุหมุนเขตร้อนในช่วงฤดูมรสุม และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นในบางพื้นที่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    • การพิจารณาปัจจัยอื่นๆ: นอกจากปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาแล้ว ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความรุนแรงของ Storm Surge เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน, การทรุดตัวของพื้นดิน, และลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ เช่น ความลาดชันของชายฝั่ง และการมีอยู่ของป่าชายเลน
  2. การประเมินความเปราะบาง (Vulnerability Assessment):
    • การระบุประชากรและทรัพย์สินที่เสี่ยง: การสำรวจและทำแผนที่แสดงประชากร, อาคาร, สาธารณูปโภค, และทรัพย์สินอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ทราบว่ามีประชากรและทรัพย์สินจำนวนเท่าใดที่อาจได้รับผลกระทบจาก Storm Surge ตัวอย่างเช่น การใช้ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและทะเบียนบ้าน, ภาพถ่ายทางอากาศ, และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS)
    • การประเมินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น: การคำนวณความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินจาก Storm Surge ที่ระดับความรุนแรงต่างๆ ช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และสามารถนำไปใช้ในการวางแผนรับมือและจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น การใช้แบบจำลอง HAZUS (Hazards U.S.) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการประเมินความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา
    • การพิจารณาปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ: นอกจากความเสียหายทางกายภาพแล้ว ยังต้องพิจารณาปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ระดับรายได้, การเข้าถึงบริการสาธารณสุข, และความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการรับมือและฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ
  3. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment):
    • การรวมข้อมูลอันตรายและความเปราะบาง: การนำข้อมูลจากขั้นตอนที่ 1 และ 2 มาวิเคราะห์ร่วมกัน โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) และการวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณ (Quantitative Risk Assessment) เพื่อระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง, ปานกลาง, และต่ำ
    • การสร้างแผนที่ความเสี่ยง: การสร้างแผนที่แสดงระดับความเสี่ยงในพื้นที่ต่างๆ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารความเสี่ยงให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐ, ภาคเอกชน, และประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงความเสี่ยงที่ตนเองเผชิญ และสามารถเตรียมความพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม
    • การสื่อสารความเสี่ยง: การสื่อสารความเสี่ยงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Storm Surge และวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุการณ์ เช่น การจัดทำคู่มือ, การจัดอบรม, และการใช้สื่อต่างๆ ในการเผยแพร่ข้อมูล
Storm surge map (ที่มา: https://www.weather.gov/crp/stormsurge)

เครื่องมือและเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์:

  • ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS): ใช้ในการสร้างแผนที่, วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่, และจำลองสถานการณ์ต่างๆ
  • แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติ: ใช้ในการคำนวณความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่างๆ และประเมินความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
  • การสำรวจและเก็บข้อมูลภาคสนาม: ใช้ในการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประชากร, ทรัพย์สิน, และสภาพแวดล้อมในพื้นที่
  • การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: ใช้ในการประเมินปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อความเปราะบางของชุมชน

ตัวอย่างการนำไปใช้:

ผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงจาก Storm Surge (พายุซัดฝั่ง) สามารถนำไปใช้ในการวางแผนและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น

  • การวางผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน: กำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยและควบคุมการพัฒนาในพื้นที่เหล่านั้น
  • การออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างป้องกัน: เช่น เขื่อน, กำแพงกันคลื่น, และระบบระบายน้ำ
  • การจัดทำแผนอพยพและระบบเตือนภัย: เพื่อให้ประชาชนสามารถอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงได้อย่างทันท่วงที
  • การให้ความรู้และสร้างความตระหนัก: เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Storm Surge และวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุการณ์