ด้วยการเพิ่มขึ้นของประชากร การพัฒนาของเมืองริมชายฝั่งทะเล ส่งผลให้ต้องใช้พื้นที่และทรัพยากรริมชายฝั่งเพิ่มมากข้ึน หากปราศจากการควบคุมและวางแผนอย่างรอบคอบ อาจทำให้เกิดการเสียสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติเนื่องจากการใช้ที่เกิดขีดความสามารถที่จะรองรับได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเสียหายทั้งต่อทรัพยากรและการเข้าใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนั้นโดยมนุษย์
การแบ่งเขตการใช้ประโยชน์พื้นที่ชายฝั่งทะเล เป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อการจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเล โดยมีความหมายคือ การจัดสรรการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ชายฝั่งนั้นให้มีความเหมาะสมตามศักยภาพของพื้นที่โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบทรัพยากร หรือหมายถึงการจัดการพื้นที่เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการสงวนรักษา เป็นมาตรการไม่ซับซ้อน นับว่าเป็นหนึ่งในมาตรการที่ง่ายที่สุดเพื่อการจัดการพื้นที่ชายฝั่ง

การแบ่งเขตการใช้ประโยชน์พื้นที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของพื้นที่ โดยการจัดการการใช้ประโยชน์และแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยใช้กระบวนการจัดการที่มีการผสมผสานกันระหว่างหน่วยงานและแผนงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนี้ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งทางวิทยาศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ เพื่อนำมาวางแผนการพัฒนาเพื่อนำไปปฏิบัติ ให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งทะเล โดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
- การรวบรวมข้อมูลชายฝั่ง เช่น เชิงกายภาพ การใช้ประโยชน์ สถานภาพของทรัพยากร
- วิเคราะห์ประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อหาสาเหตุ มาตรการแก้ไข ผู้มีส่วนได้เสีย
- เสนอแนวทางการแบ่งเขต zoning โดยยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสอดคล้องกับความต้องการสังคม และการใช้ประโยชน์ในอนาคต
- นำเสนอแนวทางการแบ่งเขต zoning เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน และนำแนวทางไปปฏิบัติให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายต่อไป
อย่างไรก็ตามการการทำ Beach Zoning ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสภาพปัญหาของชายหาดนั้น สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ชีวภาพ การใช้ประโยชน์ ข้อบังคับ นโยบายการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม ความพร้อมของหน่วยงานที่รับผิดชอบ เป็นต้น การทำ Beach Zoning สำหรับชายหาดแต่ละแห่งอาจแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ และอาจประสบความสำเร็จในที่หนึ่งแต่ล้มเหลวในอีกที่หนึ่งเนื่องมาจากปัจจัยดังกล่าวก็เป็นได้ โดยส่วนมากมาตรการนี้มักถูกดำเนินการโดยหน่วยงานระดับท้องถิ่น โดยอาจบรรจุข้อกำหนด Zoning ให้มีสภาพบังคับอยู่ในข้อบัญญัติท้องถิ่นและผังเมือง
ในต่างประเทศได้มีการทำ Zoning กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะชายหาดท่องเที่ยว สำหรับชายหาดเมือง Long Beach รัฐ California, USA มีการจัดทำแผนผังการใช้ประโยชน์ชายหาด โดยระบุเป็น เขตเล่นน้ำ, เขตการขึ้นลง Kite surf, เขตการเล่น Jet ski, เขตการเล่นเรือใบ, ตำแหน่ง Life guard, ตำแหน่งห้องน้ำและห้องอาบน้ำ , เลนปั่นจักรยาน, ถนน และลานจอดรถ

นอกเหนือจากการระบุไว้ในแผนที่แล้ว อาจจัดทำเป็นข้อกำหนดว่าโซนใดอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมใดตามตัวอย่างของการจัดการพื้นที่ในทะเลของอุทยาน Great barrier reef ประเทศออสเตรเลีย โดยได้กำหนดถึงประเภทของกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้ในโซนที่มีสีแตกต่างกัน โดยเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการในทะเลเป็นหลัก เนื่องจากอุทยานนี้เป็นแหล่งประการังที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในโลก กิจกรรมทางทะเลจึงต้องถูกควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด

นอกจากการทำแผนที่ Zoning การกำหนดกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้หรือไม่ได้ในแต่ละโซน การจัดการชายหาดในต่างประเทศ ยังได้มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ในเบื้องต้นเพื่อใช้กันในบางประเทศ ทั้งนี้เป็นไปเพื่อสมดุลระหว่างธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น (ดัดแปลงจาก FEE,2008; Williams, 2009)

อย่างไรก็ตาม การนำเอามาตรการ Beach Zoning ไปใช้เพื่อกำหนดเป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อการจัดการพื้นที่ชายหาด จำเป็นต้องปรับให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ เพราะแต่ละพื้นที่นั้น มีการใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน มาตรการที่ใช้เพื่อจัดการจึงต้องแตกต่างกันไปด้วย แนวทางเพื่อการจัดทำ Zoning มีดังต่อไปนี้
- พยายามจัด Zone ให้ง่ายๆไม่ซับซ้อน ปฏิบัติได้จริง และง่ายต่อความเข้าใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (simple/practicable/understandable)
- ให้ความสำคัญกับการลดการแทรกแซงระหว่าง user (เช่น ชาวประมง ผู้ประกอบกิจการเดินเรือ นักประดาน้ำ) โดย user ต้องถูก consult ก่อนที่จะประกาศใช้ zoning
- Compensate ผู้เสียประโยชน์เพื่อ political acceptability
- คำนึงถึงระเบียบปฏิบัติของท้องถิ่นนั้นๆ หลีกเลี่ยงการไปขัดแย้งกับข้อกำหนดอื่นๆ ถ้าเป็นไปได้
- การกำหนด zone ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เพียงพอและสมเหตุสมผลเชิงเทคนิค
- Zoning ควรคำนึงถึง cost effective ด้วย
- ควรพิจารณาถึง local/regional/national interest
- Coordinate กับ public works ต่างๆ
- ต้องมีการติดตามตรวจสอบการใช้ประโยชน์แต่ละ zone ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยน zone แบบฉับพลัน เช่น จาก พื้นที่สงวน มาเป็น พื้นที่พัฒนา ควรจะมี buffer zone ระหว่างสองพื้นที่นี้
- ถ้าพื้นที่มีลักษณะที่แยกออกโดยสิ้นเชิง (discrete) เช่น เกาะ แนวประการัง ควรกำหนดเป็น zone เดียว
- Zoning ควรสอดคล้องกับสภาพเชิงกายภาพ เพื่อง่ายต่อการจำแนกเขตในพื้นที่
- เขตที่มีสัตว์สงวน สัตว์พื้นถิ่นที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ควรกำหนดเป็น zone สงวน
- Zone วางไข่ หากินของสัตว์บางชนิดอาจกำหนดให้เป็น zone สงวนเฉพาะฤดูกาลนั้นๆหรือตลอดทั้งปีก็ได้
- ถ้าเป็นไปได้ Zoning ไม่ควรไปปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนพื้นถิ่น เช่น การจับปลา ล่าสัตว์
- ควรกำหนด Zone วางสมอสำหรับเรือให้สามารถวางได้ตลอดทั้งปี และไม่อยู่ในบริเวณที่มีประการัง หากจำเป็นควรทำท่าหรือทุ่นสำหรับจอด
- Zone สงวนรักษา สามารถใช้เพื่อการศึกษาวิจัยได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงงานวิจัยที่ต้องเข้าพื้นที่ในลักษณะประจำ
- Zone conservation สามารถประกอบกิจการเพื่อการอนุรักษ์ได้แบบไม่ถาวร
- ต้องมีกระบวนการ revise zoning ตามความจำเป็น
- มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นก่อนประกาศใช้
- การป้ายประชาสัมพันธ์ รวมถึงข้อมูลที่ user สามารถเข้าถึงและรับรู้ได้อย่างสะดวก
- อื่นๆ



(ตัวอย่างประกอบการเรียนรู้มิได้นำไปปฏิบัติจริง)